ข่าวสาร

ข่าวสาร อัพเดทบทความ ความรู้ต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องสำอาง และกิจกรรมภายในต่างๆ จาก บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC)

น้ำผึ้ง
ข่าวสาร

น้ำผึ้ง ความหวานจากธรรมชาติ เปี่ยมคุณค่ามากประโยชน์

น้ำผึ้ง ความหวานจากธรรมชาติที่นิยมใช้มาตั้งแต่โบราณ เต็มเปี่ยมไปด้วยประโยชน์มากมาย ทั้งสรรพคุณทางยา สรรพคุณเพื่อความงาม และ ยังดีกับสุขภาพโดยรวมของร่างกาย

ความหวานจากธรรมชาตินั้นมีมากมาย หลากหลายรูปแบบ ส่วนมากจะมาจากส่วนต่างๆของพืช อย่างยางไม้ และน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ น้ำผึ้งเองก็เป็นผลผลิตจากน้ำเชื่อมจากเกสรดอกไม้ชนิดต่างๆเก็บโดยพนักงานจอมขยันอันดับต้นๆของโลก ผึ้งงานตัวน้อยที่ทำงานกันอย่างแข็งขันโดยไม่มีวันหยุด

ผึ้งงานหรือผึ้งน้ำหวานจะเปลี่ยนน้ำเชื่อมจากดอกไม้(น้ำต้อย)เป็นน้ำผึ้งด้วยการขย้อนน้ำเชื่อมจากดอกไม้ที่ดูดไว้ออกมา เพื่อเตรียมไว้เป็นแหล่งอาหารให้กับตัวอ่อนในรังผึ้ง โดยจะสร้างขี้ผึ้งจากเศษเกสรดอกไม้ผสมกับน้ำเมือก ขึ้นรูปเป็นโพรงทรง 6 เหลี่ยม และเก็บของเหลวที่ได้จากการขย้อนนั้น(น้ำผึ้ง)ลงไป ปิดทับด้วยขี้ผึ้งอ่อนอีกชั้น

น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานชนิดแรกๆจากธรรมชาติที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารก่อนที่จะมีใช้น้ำตาลเสียอีก โดยมีประวัติการใช้น้ำผึ้งมาตั้งแต่ยุคอียิปต์ และ กรีกโบราณ โดยมีสรรพคุณทางยา ช่วยในการสมานแผล ฆ่าเชื้อโรค บำรุงความงาม และช่วยบำรุงกำลัง นอกจานี้น้ำผึ้งยังมีบทบาทในทางศาสนา โดยเป็นเครื่องมือในการประกอบศาสนกิจ ทั้งในคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอ่าน และพระไตรปิฎก อีกด้วย

น้ำผึ้ง

ส่วนประกอบของ น้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบถึง 80-85% ประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิดต่างๆ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ได้แก่ กลูโคส และฟรักโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่ย่อยเป็นพลังงานให้กับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว อีกกลุ่มคือน้ำตาลโมเลกุลคู่ ได้แก่ มอลโทส ซูโครส แล็กโทส และมีส่วนของน้ำตาลที่มีโมเลกุลซับซ้อน อย่างเดกซ์โทรสผสมอยู่ด้วย

ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นส่วนผสมความหวานที่ได้จากธรรมชาติล้วนๆ ดังนั้นน้ำผึ้งจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์จริงจะมีปริมาณซูโครสไม่เกินร้อยละ 5-8 เท่านั้น ถ้าสูงกว่านั้นแสดงว่า น้ำผึ้งนั้นมีการผสมน้ำเชื่อม หรือไม่ใช่น้ำผึ้งบริสุทธิ์นั้นเอง

ตารางคุณค่าทางอาหารของ น้ำผึ้ง

ตารางคุณค่าทางอาหารของน้ำผึ้ง,น้ำผึ้ง

คุณค่าทางอาหารของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งเป็นอาหารกลุ่มให้พลังงาน (คาร์โบไฮเดรต)เนื่องจากมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก น้ำตาลกว่า 70%ในน้ำผึ้งเป็นน้ำตาลที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยฟื้นฟูกำลัง ช่วยให้หายเหนื่อยเร็ว และให้ความสดชื่น หลังออกกำลังกายได้ดี

ในน้ำผึ้งมีวิตามิน บีและซี และยังมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม เกลือแร่ ฟอสฟอรัส กรดอะมิโนที่จำเป็น รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในผักใบเขียว มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยชะลอวัย ชะลอความเสื่อมของเซลล์และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

สรรพคุณทางยาของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายมาหลายพันปีแล้ว โดยถือให้น้ำผึ้งเป็นอาหารบำรุงกำลัง ปรับสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยให้อวัยวะภายในทำงานได้ดีขึ้น ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ลดกรดในกระเพาะอาหาร ใช้ล้างแผล ฆ่าเชื้อโรค ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้

สรรพคุณด้านความงามของน้ำผึ้ง

นอกจากน้ำผึ้งจะใช้นำมาเป็นอาหารที่อุดมคุณค่าแล้ว น้ำผึ้งยังมีสรรพคุณมากมายเพื่อความงามอีกด้วย น้ำผึ้งถูกนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์และครีมบำรุงผิวมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ด้วยที่น้ำผึ้งมีความสามารถในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย “ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์” สารชนิดนี้กำจัดเชื้อโรคได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อ ซึ่งทำให้น้ำผึ้งถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรผิวหนังรวมถึงเรื่องความงามอีกด้วย

นอกจากนี้น้ำผึ้งมีสารประกอบที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องแสงแดดและรังสียูวี แถมช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง นุ่มเนียน เครื่องสำอางค์ประเภท สบู่ ครีมพอกหน้า ครีมขัดหน้า เจลล้างหน้าจึงนิยมน้ำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์

ลักษณะน้ำผึ้งที่ดี

น้ำผึ้งจะมีหน้าตาและสีจะคล้ายๆกันแต่คุณภาพอาจแตกต่างกัน น้ำผึ้งที่ดีจะต้องมีลักษณะข้นหนืด มีความใสโปร่งแสง ไม่มีตะกอน ไม่มีฟอง ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว แต่จะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวจากเกสรดอกไม้ การคัดน้ำผึ้งที่ดีจะต้องดูจากความชื้นที่อยู่ในน้ำผึ้ง ยิ่งน้ำผึ้งมีความชื้นต่ำก็จะยิ่งมีคุณภาพมากเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลว่า น้ำผึ้งเดือน 5 จึงเป็นสุดยอดน้ำผึ้งคุณภาพ เพราะในเดือน 5 เป็นหน้าเล้ง ไม่มีฝน ดอกไม้กำลังบานสะพรั้ง จึงทำให้น้ำผึ้งที่ได้มีความชื้นต่ำและมีกลิ่นหอม

แต่ด้วยในปัจจุบันน้ำผึ้งเดือน 5 ตามธรรมชาติอาจหาได้ยากเนื่องพื้นที่ป่าลดลง จึงทำให้มีการปลอมแปลงน้ำผึ้งมาแร่ขายกันมากขึ้น น้ำผึ้งที่ขายกันหากเป็นน้ำผึ้งแท้ ส่วนมากจะมาจากการเลี้ยงผึ้งในสวนไม้ผล เช่นลำไย หรือ เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งคุณภาพจะสู้น้ำผึ้งป่าไม่ได้ เมื่อเก็บไว้ซักระยะน้ำผึ้งจะเปลี่ยนสี สีจะเข้มขึ้น และอาจมีกลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไป

น้ำผึ้งแท้หรือเทียมสังเกตอย่างไร

ด้วยที่สรรพคุณมากมายของน้ำผึ้ง ทำให้ราคาของน้ำผึ้งแท้สูงเมื่อเทียบกับน้ำตาล จึงทำให้เกิดกลโกงหลอกลวงมากมายเกี่ยวกับน้ำผึ้ง ทั้งใช้น้ำผึ้งแท้ผสมน้ำตาลเคี่ยวผสมแบะแซเพิ่มความข้นหนืดและคงรูป หรือใช้ฝักจามุรี ฝักฉำฉามาเคี่ยวด้วยไฟอ่อน พอละลายก็จะได้น้ำผึ้งเก๊โดยไม่ต้องเติมน้ำผึ้งจริงแม้หยุดเดียว

สำหรับคนที่ทานน้ำผึ้งเป็นประจำ จะคุ้นเคยกับลักษณะและกลิ่นอยู่แล้ว เพียงแค่ดม หรือชิมก็สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีความรู้ เพื่อความมั่นใจลองใช้วิธีเหล่านี้พิสูจน์ดู

  • หยดลงบนนิ้วมือแล้วคลึงดู ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะไม่แห้ง จะยังลื่นอยู่ตลอด แต่ถ้าหากเป็นน้ำผึ้งปลอมปน น้ำผึ้งจะตกผลึกและเหนียวติดนิ้ว
  • หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชู ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอม หยดน้ำเชื่อมจะขยายเป็นวงกว้างและกระจายออกเร็วกว่าน้ำผึ้งจริง
  • หยดน้ำผึ้งลงในน้ำ ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้น้ำผึ้งจะคงตัวเป็นก้อนก่อนแล้วจึงค่อยๆละลายไป
  • ตักน้ำผึ้งแล้วหยดลง น้ำผึ้งแท้จะไหลเป็นสาย มีใยบางๆไม่ขาดสาย และจะพับกองเป็นชั้นก่อนจะรวมตัวกันเป็นเนื้อเดียว
  • ทดสอบโดยการผสมน้ำผึ้งกับน้ำชาจีน โดยใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำชาจีนครึ่งแก้วคนให้เข้ากันแล้ววางทิ้งไว้ ถ้าชามีดำคล้ำ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งปลอม เพราะถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้น้ำชาจะไม่เปลี่ยนสี
  • เมื่อน้ำผึ้งเก็บไว้ตู้เย็นน้ำผึ้งจะมีผลึกน้ำตาลเป็นเกร็ดเล็กๆ
  • น้ำผึ้งแท้มดจะไม่ขึ้น
  • เทน้ำผึ้งลงในฝามือ ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้เวลาล้างออก จะล้างออกได้ง่ายไม่เหนียวเหนอะหนะติดมือ
  • จุ่มหัวไม้ขีดไฟลงบนน้ำผึ้งถ้าจุดไฟติดแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งแท้
น้ำผึ้งแท้,น้ำผึ้ง

ข้อควรระวังในการใช้ น้ำผึ้ง

ถึงน้ำผึ้งจะมีประโยชน์มากมายแต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ไม่เหมาะกับการทานน้ำผึ้ง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน โดยเเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาหารแพ้ละอองของเกสรดอกไม้ อาจทำให้เกิดผื่นแดง จึงควรทดสอบก่อนใช้เสียก่อน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน อย่าคิดว่าน้ำผึ้งปลอดภัยทานได้ โดยไม่ต้องควบคุม เพราะต้องไม่ลืมว่าน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลหลายชนิด จึงจำเป็นที่ต้องควบคุมปริมาณในการทานเช่นเดียวกับความหวานจากแหล่งอื่น

นอกจากนี้ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีไม่ควรทานน้ำผึ้ง และต้องมั่นใจว่าน้ำผึ้งนั้นสะอาด ได้มาจากแหล่งที่ปลอดภัยถูกหลักอนามัย ต้องระมัดระวังการบนเปื้อน โดยเฉพาะการนำน้ำผึ้งมาใช้ในการรักษาและสมานแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเกิดการลุกลามเน่าเปื่อยได้

References

เรียบเรียง : lovefitt.com

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
แตงโม,ผลไม้คลายร้อน
ข่าวสาร

แตงโม กับคุณประโยชน์ดีดีช่วยดับกระหายคลายร้อน

แตงโม ผลไม้สีสด หวานฉ่ำ รสเย็น ช่วยดับกระหายคลายร้อน มีเบต้าแคโรทีน และ ไลโคพีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ให้พลังงานน้อยและไม่มีไขมัน มีไฟเบอร์ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหาร
อากาศร้อนๆแบบนี้ เห็นทีจะต้องหนีร้อนไปพึ่งเย็น ไปอยู่ที่เย็นๆ ดื่มอะไรเย็นๆ และทานอะไรเย็นๆ เพราะตามตำราเเพทย์แผนไทยกล่าวว่า ความร้อนจะสภาพอากาศภายนอกนั้นส่งผลต่อธาตุไฟภายในร่างกายได้ ทำให้เกิดอาการตัวร้อน วิงเวียน อ่อนเพลีย คอแห้ง กระหายน้ำ ท้องผูก ปัสสาวะน้อย จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภท ของทอด ของมัน และควรทานอาหารประเภทผักผลไม้ให้มากขึ้น เนื่องจากสารอาหารและวิตามินต่างๆในผักและผลไม้ช่วยให้ร่างกายสดชื่น
อีกหนึ่งผลไม้ที่เป็น Icon ประจำหน้าร้อนแบบนี้คงหนีไม่พ้นแตงโมเป็นแน่ แตงโมผลไม้ลูกโต สีแดงสด รสหวานฉ่ำ ยิ่งเป็นแตงโมแช่เย็นแล้วละก็ ถือเป็นสวรรค์เย็นใจของใครต่อใครในช่วงอากาศร้อนๆได้เลย ไม่เพียงแตงโมจะช่วยดับกระหายคลายร้อนแล้ว แตงโมลูกโตนั้นยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารมากมาย

ประโยชน์ แตงโม

รู้จักแตงโมกันหน่อย

แตงโม เป็นผลไม้ที่เป็นญาติๆ กับ แคนตาลูป บวบ และ ฟัก โดยเนื้อในเมื่อสุกจัดจะมีอยู่ 2 สีหลักๆ คือสีแดง และสีเหลือง เนื้อฉ่ำน้ำ มีเมล็ดมีจำนวนมาก รสชาติจะหวานมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอายุการเก็บเกี่ยวและสายพันธุ์
คุณค่าทางอาหารของแตงโม

คุณค่าทางอาหารของ แตงโม

สรรพคุณทางยาของแตงโม
แตงโม ไม่ใช่ว่าจะทานอร่อยอย่างเดียวเท่านั้น ในตำราแพทย์แผนไทย แตงโมยังมีสรรพคุณทางยา ใช้ได้ตั้งแต่ราก ถึงผลเลยทีเดียว โดยรากของต้นแตงโมใช้แก้โรคบิด ท้องร่วง แก้ร้อนในกระหายน้ำ เปลือกสีเขียวของแตงโมที่จริงๆแล้วทานได้ ช่วยคลายอาการปวดฟัน ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย ส่วนของเมล็ดของแตงโมใช้ช่วยในการขับพยาธิได้
เนื้อแตงโมอุดมประโยชน์
เนื้อในสีแดงของแตงโมมีสารพฤกษาเคมีสีแดงชื่อว่า “ไลโคปีน” (Lycopene) ชนิดเดียวกันที่พบอยู่ในผักที่มีสีแดงอย่างมะเขือเทศ ซึ่งไลโคปินนี้มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด แถมในแตงโมยังมีสารอาหารดีๆอย่าง “เบตาแคโรทีน” (Beta-Carotene) ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยลดอาการติดเชื้อ อักเสบในระบบทางเดินอาหาร ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้น้ำฉ่ำๆในแตงโมยังช่วยขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงเงางามอีกด้วย
แตงโมกับการลดน้ำหนัก
สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนัก แตงโมถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถทานได้ เพราะแตงโมมีโพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำจึงทำให้มีพลังงานน้อย ไม่มีไขมัน และมีกากใยสูง มีปริมาณน้ำมากทำให้ทานแล้วอิ่มเร็ว แถมช่วยขับปัสสาวะช่วยลดอาหารบวมน้ำได้
นอกจากนี้ในน้ำแตงโมสดที่ไม่ผ่านความร้อน จะมีกรดอะมิโนตัวนึงที่ชื่อว่า citrulline เจ้ากรดอะมิโนตัวนี้สามารถใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างอาร์จีนิน (arginine) กรดอะมิโนอีกตัวที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและหลั่งโกรทฮอร์โมน (growth hormone) ที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดอาการปวดเมื่อยจากการออกกำลังกายได้
แตงโมกินได้แต่ก็ต้องระวัง

พออ่านครบเห็นประโยชน์มามากมายขนาดนี้ หลายคนคงคิดจะทานแตงโมเป็นอาหารหลักมันซะเลย แต่ขอแนะนำเพิ่มเติมอีกหน่อยว่า ถึงแตงโมจะให้พลังงานไม่ได้สูงมากนัก แต่ปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในแตงโมก็ไม่น้อย ถ้าทานในปริมาณมากๆ แตงโม 100 กรัม จะมีน้ำตาลราวๆ 6 กรัม ซึ่งเทียบเท่ากับ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชาครึ่ง ถ้าทานปริมาณมากจนเกินไป แล้วไม่ออกกำลังกายก็อาจทำให้อ้วนได้เช่นกัน นอกจากนี้การทานแตงโมมากๆ อาจทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยหรือท้องเสียได้ เนื่องจากน้ำในแตงโมจะเข้าไปละลายน้ำย่อยในประเพาะอาหารให้เจือจางลง
นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคไตที่ต้องจำกัดปริมาณการทานน้ำ ควรหลีกเลี่ยงการทานแตงโม เนื่องจากจะทำให้ไตที่มีปัญหาอยู่ต้องทำงานหนัก ทราบแล้วอย่างนี้ก็ไปหาแตงมามาเย็นๆมาดับกระหายคลายร้อนกันดีกว่า แต่อย่าลืมควบคุมปริมาณการทานกันให้เหมาะสมด้วย

สรรพคุณทางยาของ แตงโม


เรียบเรียง : lovefitt.com
Credit : usda.gov, กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, prayod.com, สุขภาพไทย.com, health.kapook.com, pharmacy.mahidol.ac.th, th.wikipedia.org, uniserv.buu.ac.th.

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
วิตามินซี,วิตามินซีกินอย่างไรเกิดประโยชน์,ascorbic acid
ข่าวสาร

วิตามินซี – รู้ก่อนกิน! วิตามินซีกินอย่างไรเกิดประโยชน์

วิตามินซี เป็นวิตามินที่ช่วยในการต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ชะลอควาเสื่อมของเซลล์ภายในร่างกาย เป็นสารอาหารที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารที่ทานเท่านั้น ซึ่งพบมากในผักและผลไม้ เราจึงควรได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ร่างกายต้องการเป็นประจำ

วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำ ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ เราจะได้รับวิตามินซีจากอาหารที่กินเข้าไปเท่านั้น ผักและผลไม้ถือเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี พบมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม และมะนาวชนิดต่างๆ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักหลายชนิดก็มีวิตามินซี เช่น พริก พริกหวาน บร็อคโคลี มะเขือเทศ กะหล่ำ ดอกกะหล่ำ ถั่วฝักเขียว มันฝรั่ง มันเทศ และ ผักโขม เป็นต้น

วิตามินซีเป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุ  และสารอาหาร เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงต่างๆ ช่วยซ่อมแซม และส่งเสริมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ รักษา สมานแผล และยังมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง

วิตามินซีกินอย่างไรเกิดประโยชน์,วิตามินซีกับหวัด

วิตามินซี กับโรคหวัด

เมื่อเป็นหวัด ผู้ที่ทานวิตามินซีเป็นประจำนั้นจะมีความรุนแรงของอาการน้อยกว่า และระยะเวลาของการเป็นหวัดจะสั้นกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานวิตามินซี หรือเพิ่งเริ่มทานเมื่อมีอาการหวัด ดังนั้นจึงควรทานอาหารที่มีวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสม และเป็นประจำสม่ำเสมอ

การดูดซึมวิตามินซี

การดูดซึมวิตามินซีของร่างกายนั้นมีจุดอิ่มตัว การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่สูงเกินไป ส่วนที่เหลือจากการดูดซึมจะถูกขับออกมารวมกับเหงื่อ และปัสสาวะ ซึ่งปริมาณการดูดซึมวิตามินซีนั้น จะขึ้นอยู่กับปริมาณที่กินเข้าไปในแต่ละครั้ง ร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีได้ดีกว่าเมื่อกินในปริมาณครั้งละน้อยๆ และค่อยๆ กินจนครบตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ

ปริมาณการกินวิตามินซีที่เหมาะสม

วิตามินซีเป็นวิตามินที่มีผลเสียต่อร่างกายน้อย สามารถทานได้ทุกวัน ปริมาณที่แนะนำต่อวันจะแตกต่างกันไป ตามเพศ ความต้องการของแต่ละช่วงวัย  ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และให้นมลูก ผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีความต้องการวิตามินซีสูงขึ้น

ปริมาณของวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวัน (Recommended Dietary Allowances, RDAs)

ปริมาณของวิตามินซีที่เหมาะสม

การกินวิตามินซีมากเกินไปมีผลเสียกับสุขภาพหรือไม่

การกินวิตามินซี ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หากทานในปริมาณที่พอเหมาะ การทานวิตามินซีในปริมาณสูงๆ มากเกินไป ติดต่อกัน อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น ปัสสาวะบ่อย ไม่สบายท้อง ปวดมวน ท้องเสีย

กิน วิตามินซี ตอนไหนดี

ความจริงแล้วการกินวิตามินซี จะทานช่วงเวลาไหนก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้ทานพร้อม หรือหลังมื้ออาหาร เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้ดีขึ้น และป้องกันการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นกับระบบย่อยอาหาร

วิตามินซี,ascorbic acid

ผลิตภัณฑ์วิตามินซีในปัจจุบัน

เนื่องจากวิตามินซีเป็นสิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ต้องได้รับจากการกินอาหารเท่านั้น นอกจากการกินอาหารประเภทผักและผลไม้เป็นประจำแล้ว การกินวิตามินซีในรูปแบบของอาหารเสริม ทั้งแบบแคปซูล แบบเม็ดสำหรับกิน เคี้ยว แบบเม็ดฟู่ผสมน้ำ และเครื่องดื่มเสริมวิตามินซีก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีให้กับร่างกาย เพียงแต่ต้องเลือกให้เหมาะกับช่วงวัย กะปริมาณการทานให้เหมาะสม โดยดูถึงส่วนผสมอื่นๆ ที่มากับผลิตภัณฑ์ด้วย

ผลิตภัณฑ์วิตามินซีในปัจจุบัน

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
กินผัก-ผลไม้
ข่าวสาร

กินผัก-ผลไม้ อย่างไรให้ได้คุณค่า ครบ 400 กรัม

กินผัก-ผลไม้ อย่างน้อยให้ถึง 400 กรัมต่อคนต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ โดยเลือกให้เป็นผัก และผลไม้หลากหลายสี สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป ผักปรุงสุก 80 กรัม 3 ส่วน และ เป็นผลไม้หวานน้อย 80 กรัม 2 ส่วน ต่อวัน

ผักและผลไม้ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารพฤกษเคมีต่างๆ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารอาหารแต่ละชนิดแตกต่างกัน จึงควรเลือกกินให้หลากหลาย และควรกินทั้งผัก และผลไม้หลากหลายสีควบคู่กันไป

สารพฤกษเคมี (Phytonutrients or Phytochemicals)ในผัก และผลไม้ ที่มักพบอยู่ตามเม็ดสีของพืช มีคุณสมบัติในการลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ตลอดจนยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

การกินผัก และผลไม้ไม่ได้มีดีเฉพาะในแง่ของสุขภาพโดยรวมเท่านั้น แต่ยังดีต่อคนที่ต้องการรักษารูปร่าง และลดน้ำหนักอีกด้วย จึงถือเป็นตัวเลือกหลักที่ถูกแนะนำให้กินในขณะควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากผัก และผลไม้บางชนิดเป็นอาหารมีไขมันต่ำ ให้พลังงานน้อย สามารถกินได้มาก ใยอาหารในผัก และผลไม้ช่วยให้อิ่มท้อง ดีต่อระบบย่อยอาหาร และการขับถ่าย

องค์การอาหาร และการเกษตรแห่งสหประชาชาติ และองค์การอนามัยโลก(WHO) จึงได้ออกคำแนะนำ และร่วมมือกับหลายหน่วยงาน รณรงค์ให้บริโภคผัก และผลไม้ให้ได้อย่างน้อย 400 กรัม ต่อคนต่อวัน

กินผัก-ผลไม้ ,ผลไม้หลากสี,ผัก,ผลไม้

กินผักและผลไม้ 400 กรัมเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก

กินผัก-ผลไม้ การกินผักผลไม้ในช่วงของการควบคุม และลดน้ำหนัก เน้นการเลือกรับประทานผักใบหลากสี ทั้งขาว เขียว แดง  ธัญพืช ถั่ว และข้าวกล้อง เนื่องจากมีกากใยสูง น้ำตาลน้อย ให้พลังงานต่ำ ช่วยให้อิ่มได้นาน แล้วเสริมด้วยผลไม้หวานน้อยชนิดอื่นๆ โดยสามารถแบ่งเป็น ผักปรุงสุก 4-6 ทัพพี (80 กรัมต่อทัพพี) และผลไม้ 2-3 ส่วน (น้ำหนัก 1 ส่วนของผลไม้จะเท่ากับ 80-100 กรัม ) แต่ถ้าหากระวังเรื่องน้ำตาลเป็นพิเศษให้ลดสัดส่วนของผลไม้ลง และเพิ่มส่วนของผักเข้าไปแทนที่

กินผัก-ผลไม้ ,ผลไม้หลากสี,ผัก,ผลไม้

ประโยชน์ของการ กินผัก-ผลไม้ หลากสี

สารพฤกษเคมีในผัก และผลไม้ ที่มักพบอยู่ตามเม็ดสีของพืชนั้น เป็นแร่ธาตุ และวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง แต่จะได้รับจากการกินผัก และผลไม้เท่านั้น

ผัก และผลไม้แต่ละสีให้ประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกัน เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการกินผัก และผลไม้อย่างเต็มที่ ควรเลือกกินให้หลากหลาย ทั้งชนิด และสี สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ

  • ผักสีเขียว มี สารคลอโรฟิลด์ (Chlorophyll) โดยเฉพาะผักใบที่มีสีเขียวจัดๆ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านโรคมะเร็ง มีแร่ธาตุ และวิตามิน ไฟเบอร์สูงทำให้การขับถ่ายดี
  • ผัก-ผลไม้สีเหลือง มี สารลูทีน (Lutein) พบในผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ข้าวโพด ช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกิดขึ้นกับจอประสาทตา
  • ผัก-ผลไม้ สีเหลืองส้ม และส้มแดง มีสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ได้แก่ แครอท ฟักทอง มะเขือ มะละกอ ส้ม ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย บำรุงสายตา และจอประสาทตา
  • ผัก-ผลไม้ สีแดง มีสารไลโคปีน (Lycopene) เช่น ฟักข้าว มะเขือเทศ แตงโม และ สตรอเบอร์รี่ ไลโคปีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิต้านทาน ชะลอความแก่ เสริมให้เซลล์ในร่างกายแข็งแรง
  • ผัก-ผลไม้ สีม่วงแดง และสีม่วงน้ำเงิน มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin)  เช่น ข้าวไรส์เบอร์รี่ องุ่น กะหล่ำปลีสีม่วง หัวบีท แครอทสีม่วง และ มันสีม่วง มีส่วนช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ในร่างกาย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดอุดตัน
  • ผัก-ผลไม้สีขาว มีสารอัลลิซิน (Allicin) เช่น หอมหัวใหญ่ กระเทียม หัวไชเท้า ถั่วเหลือง และ ลูกเดือย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคความดันโลหิต และโรคหลอดเลือดหัวใจได้
กินผัก-ผลไม้ ,ผลไม้หลากสี,ผัก,ผลไม้

References

เรียบเรียง : lovefitt.com

  • “กินผัก ผลไม้ มากพอ ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วันทนีย์ เกรียงสินยศสถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล)
  • คำแนะนำการบริโภคผักและผลไม้สู่การปฏิบัติจริง: ทำไมต้อง 400 กรัมต่อวัน (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วันทนีย์ เกรียงสินยศ สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล)
  • “กลุ่มโรค NCDs” (สสส)
  • www.who.int/dietphysicalactivity/fruit/en
  • www.weightlossresources.co.uk

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
ดื่มน้ำ
ข่าวสาร

การ ดื่มน้ำ สิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้

น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย ยิ่งถ้าคุณเป็นคนออกกำลังกายหนัก และ กำลังลดน้ำหนักอยู่ละก็ น้ำเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการสร้างความสดชื่นให้กับร่างกาย ขับของเสีย ช่วยลดอุณหภูมิ และการไหลเวียนโลหิต อย่างทราบกันดี น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต มักมีผู้กล่าวไว้ว่าถ้าปราศจากน้ำก็ปราศจากสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไปคนสามารถอดอาหารได้หลายสัปดาห์ แต่ถ้าอดน้ำจะเสียชีวิตภายใน 2–3 วัน โดยการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาพบว่า น้ำมีประโยชน์มากมายแก่ร่างกายของสิ่งมีชีวิต นอกเหนือจากคุณสมบัติที่เด่นที่สุดของโมเลกุลน้ำ ที่เป็นตัวทำละลายที่ดีและ มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และกว่า 90% ของคนทั่วไปมักหลงลืมและไม่ใส่ใจกับการ ดื่มน้ำ

ดื่มน้ำ

น้ำกับสิ่งมีชีวิต
ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 70 ในเลือดมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 92 ในสมองมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 85 ถ้าพิจารณาในแต่ละเซลล์จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 60 นอกจากนี้น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญและจำเป็นของเซลล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเซลพืช เซลล์สัตว์ และเซลล์มนุษย์ ทุกเซลล์ล้วนประกอบด้วยน้ำทั้งนั้น ในเซลล์มนุษย์และเซลล์สัตว์มีน้ำประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำหนักร่างกาย ในพืชบกมีน้ำประมาณร้อยละ 50–75 ถ้าเป็นพืชน้ำอาจมีน้ำมากกว่าร้อยละ 95 โดยน้ำหนัก

หน้าที่สำคัญที่สุดของน้ำ
เป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิด ในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายทุกชนิดต้องอาศัยน้ำ เซลล์จะไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มีน้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ กระบวนการการย่อยอาหาร กระบวนการดูดซึมอาหาร และกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย น้ำที่เป็นของเหลวของเลือด ทำหน้าที่ขนส่งอาหารและออกซิเจนให้แก่เซลล์ อีกทั้งนำของเสียและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์มาขับถ่ายออกจากร่างกาย กระบวนการไหลเวียนเลือด และกระบวนการขับถ่ายของเสียในร่างกายไม่สามารถเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้น้ำช่วยให้การขับถ่ายกากอาหารในลำไส้ใหญ่เป็นไปโดยสะดวก ความผิดปกติของการถ่ายอุจจาระเกิดขึ้น เนื่องจากขาดสมดุลของการดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่เซลล์ลำไส้ เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคอุจจาระร่วงหลายชนิด สร้างสารพิษที่มีผลต่อกลไกการควบคุมสมดุลสารน้ำภายในลำไส้
สารพิษรวมทั้งสารเคมีในร่างกายที่อาจเป็นพิษ ถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยอาศัยน้ำ เลือดทำหน้าที่ขนส่งสารเหล่านั้นไปทั่วร่างกายซึ่งสารนั้นละลายในน้ำ ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการทำลาย หรือเปลี่ยนแปลงสารพิษด้วยกลไกทางเคมีมากมาย หลายชนิด บางคนกล่าวเปรียบเทียบว่าตับเป็นโรงงานผลิตเอนไซม์ที่ทรงพลัง มากกว่าโรงงานใด ๆ ในโลก กระบวนการขับถ่ายสารพิษเกิดขึ้นร่วมกับการขับถ่ายทางปัสสาวะและอุจจาระ และน้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และช่วยรักษาระดับความเป็นกรดด่างของเลือดรวมทั้งของเหลวต่าง ๆ ในร่างกาย น้ำช่วยระบายความร้อนของร่างกายในรูปของเหงื่อ ซึ่งถือเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพยิ่ง

ดื่มน้ำ

การสูญเสียน้ำ
ร่างกายเรามีกาสูญเสียน้ำรวมทั้งสิ้นประมาณ 3–5 ลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณที่ได้รับเลยทีเดียว ปริมาณของน้ำในร่างกายคนไม่แน่นอน ขึ้นกับอายุ ปริมาณของไขมันในร่างกาย และกิจกรรมของแต่ละคน คนที่ทำงานหนักกลางแจ้งอาจสูญเสียน้ำ 5 –12 ลิตรต่อวัน หรือคนที่มีโรคภัยไข้เจ็บก็อาจเสียสมดุลของน้ำในร่างกายได้ง่าย โดยร่างกายจะสูญเสียน้ำทาง

  • ผิวหนัง มีทั้งที่เรามองเห็นออกมาในรูปของเหงื่อ และน้ำที่ระเหยไปโดยที่เรามองไม่เห็น
  • ปอด โดยการหายใจออก
  • ทางอุจจาระ
  • ทางปัสสาวะ
ดื่มน้ำ

แล้วเราควร ดื่มน้ำ ปริมาณ หรือ มากแค่ไหนใน 1 วัน ??
เราควรพยายามดื่มน้ำให้เป็นนิสัยโดย สำหรับผู้ชายควรดื่มไม่น้อยกว่า 3.7 ลิตร/วัน และหญิงควรไม่น้อยกว่า 2.7 ลิตรต่อวัน หรือวิธีง่ายๆ ก็สังเกตสีของปัสสาวะ ถ้าหากปัสสาวะมีสีเข้มแสดงว่าเราดื่มน้ำน้อยไป ถ้าหากสีปัสสาวะต้องมีสีเหลือจางๆสภาพใส ไร้มูกหรือสิ่งเจอปนถือว่าอยู่ในระดับปรกติ
หวังว่าทุกคน คงจะให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำมากขึ้นและ ฝึกให้เป็นความเคยชินถึงแม้บางครั้งเราไม่รู้สึกหิวกระหายน้ำก็ตาม และลดการดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม กาแฟ ชานมไข่มุก มาดื่มน้ำเปล่าในอุณภูมิห้องปรกติเป็นประจำเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับคนที่ออกกำลังกาย ระหว่างออกควรจิบน้ำไปด้วยเป็นระยะ จิบ เพราะขณะที่เราออกกำลังกายร่างกายเราจะสูญเสียน้ำเพื่อระบายความร้อน ออกมาในรูปของเหงื่อ ถ้าเราไม่จิบน้ำอาจเกิดภาวะร่างกายขาดน้ำได้ง่าย

Credit: kapook.com

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

OEM และ ODM
ข่าวสาร

OEM และ ODM คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร?

OEM และ ODM คืออะไร ในยุคที่นักธุรกิจหน้าใหม่เกิดได้ง่ายขึ้น การสร้างแบรนด์สินค้าประเภทอาหารเสริมได้รับความนิยม เพราะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วกว่าแต่ก่อน เนื่องจากมีโรงงานรับผลิตอาหารเสริมครบวงจร พร้อมที่จะรองรับงานในส่วนนั้นอย่างพร้อมสรรพ นักธุรกิจหน้าใหม่เพียงมีทุน มีไอเดีย ก็สามารถเป็นเจ้าของ แบรนด์อาหารเสริมได้สมใจ ในแง่ของโรงงานรับผลิตอาหารเสริมครบวงจรเองนั้นก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้นพร้อมๆ กับสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจของตัวเองไปในตัว ในรูปแบบการทำงาน โดยเฉพาะในส่วนของโรงงานที่รับผลิตอาหารเสริมนั้น จะปรากฏคำสองคำที่แพร่หลาย ที่มีคำเรียกย่อๆ ว่า OEM ODM คำทั้งสองคำนี้ คืออะไร และมีความต่างกันอย่างไร ลองมาดูกันว่า OEM และ ODM คืออะไร

OEM คืออะไร
คำว่า OEM นั้น ย่อมาจากคำว่า Original Equipment Manufacturer ลักษณะของโรงงานที่รับผลิตสินค้าแบบนี้ก็คือ โรงงานมีเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตอยู่แล้ว และรับผลิตสินค้าให้กับลูกค้าเพื่อนำไปติดแบรนด์ที่มีอยู่แล้วของลูกค้า ในลักษณะนี้ เช่น ลูกค้ามีแบรนด์ที่แข็งแรงแล้วในตลาด ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อะไร หรือแม้แต่อะไหล่รถยี่ห้อดัง สมาร์ทโฟน ก็อาจจะพึ่งโรงงานประเภทนี้ โรงงานประเภทนี้มักมีมาตรฐานการผลิตในระดับสากล มีเครื่องหมายรับรอง เชื่อถือได้ในเรื่องของคุณภาพที่แบรนด์ดังไว้วางใจ

OEM และ ODM,OEM,Original Equipment Manufacturer

ODM คืออะไร
ODM เป็นคำย่อของ Original Design Manufacturer โรงงานแบบนี้ มักจะมีพัฒนาขึ้นมาจากแบบ OEM  กล่าวคือ เป็นโรงงานที่มีการทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ หากเป็นการผลิตอาหารเสริม หรือเครื่องสำอาง ก็มีการคิดค้น ทำวิจัย เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพและจุดเด่นที่แตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่เดิมในท้องตลาด การคิดพัฒนานั้น มีการทดลอง ทดสอบประสิทธิภาพ และเป็นสูตรที่ลงตัว มีมาตรฐานของตัวเอง อีกทั้งมีความพร้อมในการให้บริการครบวงจร อย่างที่โรงงานรับผลิตอาหารเสริมครบวงจร นิยมทำกัน กล่าวคือ นอกจากผลิตแล้ว ยังรับออกแบบทั้งโลโก้ ฉลากสินค้า อีกทั้งจัดหาบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะและสวยงาม ถูกใจตลาด รวมถึงจดทะเบียน อย. กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ครบวงจรเพื่อลูกค้าที่มาใช้บริการผลิตเพื่อสร้างแบรนด์จะได้สะดวก และได้สินค้ารวดเร็ว มีเอกลักษณ์เฉพาะ

OEM และ ODM,ODM,Original Design Manufacturer

ความแตกต่างของ OEM และ ODM
1. OEM เป็นการทำงานผลิตของโรงงานที่รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ตามสูตรการผลิตของลูกค้าเพื่อให้ลูกค้านำไปติดแบรนด์ที่ติดตลาดอยู่แล้วของตัวเอง ส่วน ODM เป็นโรงงานที่มีรูปแบบการผลิตที่มีการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เพื่อนำเสนอแก่ลูกค้า
2. OEM เป็นการทำงานผลิตแบบรับจ้าง ไม่ต้องมีความเสี่ยง เพราะเป็นการรับจ้างผลิต ส่วน ODM แม้จะต้องรับความเสี่ยงและลงทุนเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง เพราะต้องทดลองและทดสอบผลิตภัณฑ์ แต่ก็นับเป็นความก้าวหน้าของธุรกิจ

OEM และ ODM,ODM,Original Design Manufacturer,OEM,Original Equipment Manufacturer

Credit : https://www.brandsolutionsthailand.com/oem-vs-odm-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc

        

ดูแลริมฝีปาก,วิธีดูแลริมฝีปาก
ข่าวสาร

ดูแลริมฝีปาก วิธีดูแลให้สวยอวบอิ่มอยู่เสมอ

ดูแลริมฝีปาก ริมฝีปากดำคล้ำของคนเรานั้นมีสาเหตุหลายอย่างด้วยกัน โดยสาเหตุนั้นก็เกิดจากทั้งกรรมพันธุ์ แพ้อาหาร แพ้ยาสีฟัน แสงแดด สภาวะอากาศ รวมไปถึงลิปสติกที่ใช้กันเป็นประจำทุกวัน แม้กระทั่งพฤติกรรมที่เกิดจากตัวเอง โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเลียริมฝีปาก สูบบุหรี่จัดๆ ยิ่งส่งผลทำให้มีริมฝีปากดำคล้ำได้ง่ายๆ  สาวๆ ที่ทาลิปสติกบ่อยบางคนเกิดอาการแพ้เนื่องจากลิปสติกที่ซื้อมานั้นไม่ได้มาตรฐาน ซื้อมาในราคาถูก แม้กระทั่งลิปสติกที่มีมีคุณภาพดี ราคาแพงๆ ก็เป็นสาเหตุให้เกิดอาการแพ้ได้ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่หลายคนมีริมฝีปากที่ดำคล้ำ จะมีวีธีไหนที่จะช่วย ดูแลริมฝีปาก ให้อมชมพูได้บ้าง วันนี้เรานำเทคนิคในการดูแลริมฝีปากมาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ

สครับริมฝีปากเป็นประจำ
ริมฝีปากสาวๆ โดยเฉพาะสาวที่มีผิวแห้งมักจะเผชิญกับความแห้งกร้าน เซลล์ผิวจะหลุดลอกเป็นขุยๆ ง่าย ทำให้ทาลิปสติกเฉดสีใดก็ออกมาไม่สวยเรียบเนียน แถมยังเป็นอีกหนึ่งต้นตอที่ทำให้ปากดำได้ง่ายขึ้นด้วย ดังนั้น จึงควรหมั่นสครับผิวริมฝีปากกันเป็นประจำด้วยวาสลีน น้ำตาลและน้ำผึ้ง หรือก่อนนอนตอนที่เราแปรงฟันอาจจะขัดเบาๆ ด้วยแปรงขนนุ่มก็ได้ค่ะ ทำเป็นประจำรับรองปัญหาขุยที่ลอกเป็นแผ่นๆ จะหมดไป ริมฝีปากก็จะเรียบเนียนใสสุขภาพดี

ดูแลริมฝีปาก,สครับปาก

ขจัดขุยลอกแตกอย่างอ่อนโยน
เมื่อสังเกตพบว่าปากตัวเองเป็นขุยๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว จะเป็นกันเยอะมาก วิธีแก้ปัญหาคือ ให้ผสมน้ำอุ่นกับน้ำเกลือ ชุบด้วยทิสชูแล้วค่อยๆ ไล่เช็ดริมฝีปากค่ะแล้วขุยๆ บนริมฝีปากนั้นจะจางหายไป ทั้งนี้จะช่วยให้ริมฝีปากนั้นไม่ให้โดนทำลายมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ริมฝีปากดำคล้ำได้ ดังนั้นหากอยาก ดูแลริมฝีปาก ให้อมชมพู ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่มีผลกระทบต่อริมฝีปากให้มากที่สุด

ดูแลริมฝีปาก,ขุยลอกแตกริมฝีปาก

ทาลิปบาล์มอยู่เสมอ
เพราะลิปบาล์มจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวริมฝีปากเรา แถมยังทำให้ปากเนียนนุ่ม ส่งผลให้สุขภาพผิวอิ่มเอิบระเรื่อสดใสในแบบธรรมชาติได้ดีอีกด้วย หากเลือกใช้ลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารกันแดดร่วมด้วยจะดีมากค่ะ จะได้ยิ่งช่วยปกป้องรังสี UV ไม่ให้ทำลายผิวริมฝีปากจนหมองคล้ำ ดำง่ายยิ่งขึ้น

ดูแลริมฝีปาก,ลิปบาล์ม

ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ
ควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้วเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของผิว เมื่อเซลล์ผิวได้รับน้ำก็จะยิ่งทำให้ผิวภายนอกเปล่งปลั่งสดใส และเนียนนุ่มชุ่มชื้นแบบสาวผิวสุขภาพดี ไม่เว้นแม้แต่สุขภาพเส้นผม ผิวหน้า ผิวกายและเล็บก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้ว ริมฝีปากที่เคยแห้งกร้านหมองคล้ำง่าย หากสาวๆ ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ รับรองได้เลยค่ะว่าสภาพผิวที่แห้งและลอกแตกเป็นขุยๆ นั้นจะต้องหมดไปแน่นอน

ดูแลริมฝีปาก,ดื่มน้ำสะอาด

อย่างไรก็ตาม หากสาวๆ เลือกทาลิปสติกไม่ว่าเฉดสีใด แนะนำให้เลือกซื้อลิปสติกคุณภาพดีที่มี moisturizer บำรุงในตัวพร้อมกันด้วยนะคะ ผิวเรียวปากจะได้สวยอวบอิ่ม มีน้ำมีนวล แต่สำหรับสาวผิวแห้งเป็นพิเศษอาจจะหลีกเลี่ยงการทาลิปสติกสีแมทก็ได้ค่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้ริมฝีปากดูแห้งกร้านง่ายมากเกินไป

ที่มา : https://www.sanook.com/women/79025/
https://www.sanook.com/women/78109/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
Serum,เซรั่ม
ข่าวสาร

เซรั่ม (Serum) คืออะไร?

เซรั่ม (Serum) คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหนังที่มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก ลักษณะของเนื้อเซรั่มจะมีความเบาบางกว่าเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ประเภทครีม โดยเนื้อของเซรั่มจะสามารถมีความเหลวไปจนถึงกึ่งเหลว ส่วนในเรื่องของสีเนื้อเซรั่มอาจจะมีความใส ความขุ่น หรือมีสี ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับส่วนผสม สารสกัด และการออกเเเบบสูตรของเซรั่มแต่ละชนิด สิ่งที่สำคัญของผลิตภัณฑ์เซรั่ม คือ จะมีความเข้นข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) ที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทอื่นๆ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการฟื้นบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง สามารถใช้ได้ในปริมาณน้อย เพียงไม่กี่หยด แต่ยังคงให้ผลลัพธ์ที่ดี และเนื่องจากเซรั่มมีโมเลกุลขนาดเล็กจึงสามารถซึมซามเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึกถึงระดับโครงสร้างผิว ด้วยเหตุนี้เซรั่มจึงมอบประโยชน์ของสารสกัดและส่วนผสมในการบำรุงต่างๆให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี

Serum,เซรั่ม,เซรั่ม (Serum)

ทำไมถึงควรใช้ เซรั่ม (Serum)?

ก่อนที่เราจะตอบคำถามข้อนี้ว่า ทำไมเราถึงควรใช้เซรั่ม? เราควรเปรียบเทียบเซรั่มกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ได้แก่ ครีม กันก่อนดีกว่า แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิดนี้ต้องมีความแตกต่างกัน และมีความเหมาะสมในการใช้บำรุงผิวที่ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนั้นแล้วเราไปทำความรู้จักครีมกันสักอีกนิดก่อน!

ครีม (Cream) คืออะไร?
ครีม คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหนังที่มีส่วนประกอบทั้งน้ำมันและน้ำ ผ่านกระบวนการที่รวมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเนื้อครีมที่มีความข้น และให้เนื้อสัมผัสเวลาทาลงบนผิวที่หนักกว่าเซรั่ม ลักษณะของเนื้อครีมก็จะมีหลากหลายสัมผัสซึ่งจะแตกต่างกันตามจุดประสงค์ของการใช้งาน เช่น Day Cream สำหรับทาตอนเช้า ก็จะมีเนื้อสัมผัสที่เบาบางกว่า Night Cream สำหรับทาตอนกลางคืน เป็นต้น ในส่วนของเนื้อครีมจะมีสีขุ่นค่อนไปทางขาว แต่อย่างไรก็ตามส่วนผสม สารสกัด และการออกแบบสูตรครีมแต่ละชนิด ก็จะส่งผลต่อสีของเนื้อครีมที่จะมีความแตกต่างกันไป สิ่งสำคัญของผลิตภัณฑ์ประเภทครีมไม่ว่าจะเป็นครีมประเภทไหนก็ตาม จะเน้นไปในเรื่องของการให้ความชุ่มชื้นกับผิว เมื่อเราทาครีมจะสามารถสังเกตเห็นได้ว่า ครีมจะไม่ถูกดูดซึมเข้าไปในผิวหนังทันที เราจะต้องใช้เวลาเกลี่ยเนื้อครีมซักพักนึง และเนื้อครีมจะทำหน้าที่เคลือบผิวภายนอกเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ สำหรับส่วนของสารออกฤทธิ์สำคัญในครีมจะมีน้อยกว่าในเซรั่ม

cream,ครีม

ข้อดีของเซรั่ม

  1. เซรั่มเน้นการฟื้นบำรุงแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุดได้โดยตรง
  2. เซรั่มมีสารบำรุงผิวต่อหยดที่เข้มข้นมาก จึงช่วยแก้ไขปัญหาผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. เซรั่มซึมเร็วและลงลึกจึงทำให้มีความสามารถในการบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก
  4. เซรั่มมีความเบาบาง ไม่เหนียวเหนอะเหนอะ ไม่เน้นการเคลือบผิว ทำให้มีโอกาสน้อยมากในการเกิดการสิว
  5. เซรั่มไม่กีดกันแต่เพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้ร่วมด้วย

ข้อดีของครีม

  1. ครีมมีเนื้อสัมผัสที่เหนียวและหนัก ช่วยในเรื่องการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ดี
  2. ครีมทำหน้าที่เป็นฟิล์มคลุมผิวชั้นนอก ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิว
  3. ครีมมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ประเภทเซรั่ม
  4. ครีมเหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง
serum,cream

วิธีการเลือกใช้ระหว่างเซรั่มกับครีมง่ายๆ

  • ครีม เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มหรือแก้ไขปัญหาความชุ่มชื้นของผิว
  • เซรั่ม เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุดให้ได้อย่างตรงจุด

เซรั่มเหมาะกับผู้ใช้ประเภทไหน?

เซรั่มมีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้งาน ที่ตอบโจทย์ในการเเก้ปัญหาดูแลผิวเฉพาะจุดอย่างเจาะจง เพราะเซรั่มมีส่วนผสมของสารสำคัญที่เข้มข้น พร้อมทั้งมีขนาดโมเลกุลเล็กมาก ทำให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ตรงเข้าไปแก้ไขปัญหาผิวได้จากภายใน

Serum,Pore Tightening Serum,Anti-Acne Serum,Anti-Aging Serum,Skin-Brightening Serum,Hydrating Serum,Renewing Serum,Exfoliating Serum


ประเภทของเซรั่ม

  • เซรั่มช่วยกระชับรูขุมขน (Pore Tightening Serum)
  • เซรั่มช่วยป้องกันสิวและลดรอยดำจากสิว (Anti-Acne Serum)
  • เซรั่มช่วยลดริ้วรอย (Anti-Aging Serum)
  • เซรั่มช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลบเลือนจุดด่างดำ (Skin-Brightening Serum)
  • เซรั่มช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นรักษาผิวแห้งจากภายใน (Hydrating Serum)
  • เซรั่มช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม (Renewing Serum)
  • เซรั่มช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว (Exfoliating Serum)
    เซรั่มที่ดีเหมาะกับคุณ คือ เซรั่มที่มาจากสารสกัดธรรมชาติ ปลอดภัยปราศจากสารต่างๆที่มีโอกาสทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว และมีการนิยามการดูแลแก้ปัญหาผิวของคุณอย่างชัดเจน ซึ่งหากคุณมีหลายปัญหาผิวที่ต้องการดูแล เราขอแนะนำเซรั่มบำรุงผิวหน้าของเรา เซรั่มที่รวบรวมสารสกัดต่างๆเพื่อแก้ไขและฟื้นฟูให้ผิวหน้าสุขภาพดีขึ้น
how to serum

วิธีใช้เซรั่มให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

  1. ทำความสะอาดผิวให้เรียบร้อย เนื่องจากเซรั่มมีโมเลกุลขนาดเล็ก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ผิวที่ดีที่สุด เราควรทำความสะอาดผิวหน้าให้เรียบร้อย ขจัดสิ่งสกปรกที่ติดค้างอยู่บนผิวหน้า เช่น เครื่องสำอาง น้ำมันเหงื่อไคล ที่ปิดบังรูขุมขนด้วยการชำระล้างให้สะอาดหมดจด และจะดียิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก หากเราสามารถล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ดีต่อสภาพผิวหน้า (อย่าลืม! ล้างหน้าและเช็ดใบหน้าด้วยความอ่อนโยน อย่าถูใบหน้าแรงเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้าได้)
  2. ลงเซรั่มขณะผิวกำลังชื้น ผิวที่ชื้นจะช่วยให้เซรั่มซึมผ่านผิวได้ง่ายกว่าผิวที่แห้งถึง 10 เท่า เพราะฉะนั้นเราควรลงเซรั่มหลังจากอาบน้ำหรือหลังการใช้โทนเน่อร์แบบปราศจากแอลกอฮอล์ทันที
  3. ใช้เซรั่มเพียง 2-3 หยด ก็พอบำรุงทั่วทั้งหน้า เซรั่มมีโมเลกุลขนาดเล็กและมีความเข้มข้นสูงมาก ดังนั้นใช้เพียงแค่ 2-3 หยดเท่าเมล็ดถั่ว ก็เพียงพอต่อความต้องการบำรุงใบหน้า เราเพียงแค่ต้องกระจายเนื้อเซรั่มให้ทั่วทั้งหน้า โดยการลงเซรั่มที่ตำแหน่งสำคัญ เช่น หน้าผ้า แก้มทั้ง 2 ข้าง และเกลี่ยเซรั่มให้กระจายเท่าทั่วกัน
  4. ใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นหลังลงเซรั่มได้ทันที หากต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายประเภท เราควรใช้เซรั่มเป็นอันดับแรก เนื่องจากเซรั่มจะมีความเบาบางมากกว่าสกินแคร์อื่นๆ การลงผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เนื้อหนักกว่าก่อนเซรั่ม จะทำให้เซรั่มไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดี เนื่องจากผิวหนังถูกอุดกลั้นเคลือบด้วยผลิตภัณฑ์อื่นๆไปเเล้ว ดังนั้นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีที่สุด อย่าลืมที่จะลงเซรั่มเป็นอันดับเเรก และหลังจากใช้เซรั่มผิวของคุณจะยังคงความชื้นอยู่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของผิวหนังต่อผลิตภัณฑ์อื่นๆให้ดีขึ้นได้อีกด้วยมาถึงจุดนี้คุณน่าจะพอทราบว่า ปัญหาผิวหน้าที่คุณเผชิญอยู่ตอนนี้เหมาะกับการบำรุงด้วยเซรั่มหรือไม่ และหาก “ใช่” หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณหันมาใช้เซรั่มด้วยความมั่นใจขึ้นนะ

Credit : https://www.skinphilic.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A1-serum-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc,line,@ilc_cosmetic,facebook,https://www.facebook.com/ILC.Cosmetics/

น้ำหอม,สร้างแบรนด์
ข่าวสาร

น้ำหอม – เปิดโลกน้ำหอม ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์

พร้อมวิธีเลือก น้ำหอม ที่เหมาะสมในแบรน์ที่คุณต้องการ

ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย‘กลิ่นน้ำหอม‘ หนึ่งในเสน่ห์ที่ทำให้คุณน่าหลงใหลอย่างไม่น่าเชื่อ กลิ่นของน้ำหอม ที่เลือกจะบ่งบอกถึงรสนิยมและยังช่วยเสริมบุคลิกให้ดีขึ้นอีกด้วย แต่ก่อนที่จะเลือกเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ สิ่งคุณกังวลคือ กลิ่นน้ำหอม นี้จะเหมาะกับที่คุณจะเลือกผลิตภัณฑ์ไหม ตัวน้ำหอม ติดทนนานหรือเปล่า เพราะบางครั้งฉีดไปแล้วรู้สึกว่ากลิ่นหายเร็วเกินไป

อย่างแรกที่ต้องดูคือ ความเข้มข้นของน้ำหอม เช่น Eau de Parfum, Eau de Toilette, Eau de Cologne สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือก น้ำหอม แบบไหนดี วันนี้เรามีคำอธิบายง่าย ๆ เกี่ยวกับความเข้มข้นของ น้ำหอม ทั้ง 5 ประเภทมาแนะนำ

น้ำหอม,สร้างแบรนด์,ความเข้มข้นของน้ำหอม

ระดับความเข้มข้นของหัวน้ำหอม

1. Parfum หรือ Perfume
เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงสุด มีหัวน้ำหอมถึง 20-40% และติดทน 8-10 ชั่วโมง เป็นน้ำหอมที่ติดทนนานและราคาแพงที่สุดในน้ำหอมทุกประเภท เพราะมีหัวน้ำหอมเยอะ เหมาะกับคนที่ผิว Sensitive มากกว่าน้ำหอมประเภทอื่น เพราะมีปริมาณแอลกอฮอล์น้อย

2. Eau de Parfum (EDP)
เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นรองจาก Parfum มีปริมาณหัวน้ำหอม 15-20% ติดทน 7-8 ชั่วโมง ราคาถูกกว่า Parfum และกลิ่นน้ำหอมติดทนนานน้อยกว่า เพราะมีแอลกอฮอล์มากกว่า ใช้งานได้ทุกวัน

3. Eau de Toilette (EDT)
เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นอยู่ที่ 5-15% ราคาถูกกว่า Eau de Perfum และเป็นน้ำหอมประเภทที่คนนิยมที่สุด
กลิ่นน้ำหอมติดทนนานประมาณ 4-6 ชั่วโมง บางคนจะเลือกใช้ตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนจะใช้เป็น Eau de Parfum

4.Eau de Cologne (EDC)
เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นน้อยสุดในทุกประเภท มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์สูงและมีน้ำหอมเพียง 2-4% เท่านั้น ทำให้ราคาค่อนข้างถูกและได้ปริมาณที่เยอะ กลิ่นน้ำหอมติดทนนานประมาณ 3-4 ชั่วโมง 

5. Eau Fraiche
คล้ายกับ Eau de Cologne ตรงที่กลิ่นน้ำหอมจะอยู่ได้ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่มีความเข้มข้นของหัวน้ำหอมที่น้อยกว่า มีแค่ 1-3% เท่านั้น ไม่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์เพราะใช้น้ำแทน
Tip: อุณหภูมิก็มีผลต่อการใช้น้ำหอมนะคะ เพราะฉะนั้นควรเลือกน้ำหอมให้เหมาะสมกับฤดูนั้น ๆ ด้วย แต่ปกติน้ำหอมส่วนใหญ่จะมี Collection ที่เหมาะกับแต่ละฤดูออกมาอยู่แล้ว เช่น ถ้าเป็นหน้าร้อนมักจะเป็นน้ำหอม Eau de Toilette (EDT) ที่สกัดจากดอกไม้และผลไม้ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น เพราะถ้าเป็น Eau de Parfum (EDP) อาจกลิ่นแรงเกินไป

กลิ่นน้ำหอมประเภทต่าง ๆ
เป็นการแยกกลิ่นตามกลุ่มลักษณะเฉพาะตัวของน้ำหอม เพื่อให้เราสามารถเลือกกลิ่นน้ำหอมที่ชอบและรู้ว่าน้ำหอมกลิ่นไหนหอมเหมือนอะไร แม้ว่าจะไม่ได้ดมกลิ่นน้ำหอมก็ตาม

floral,น้ำหอม,สร้างแบรนด์,กลิ่นน้ำหอม

Floral น้ำหอมกลิ่นดอกไม้ มีความเป็นผู้หญิง ส่วนมากมักสกัดจากดอกไม้ เช่น กุหลาบ หรือมะลิ ให้ความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนหวาน และสดชื่น เป็นกลุ่มน้ำหอมที่นิยมผลิตออกมามากที่สุด จะอยู่ในน้ำหอมของผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีในน้ำหอมผู้ชายเช่นกัน สามารถผสมกับกลิ่นของ Oriental หรือกลุ่มที่ให้ความรู้สึกสดชื่นได้ดี ในกลุ่มนี้แยกออกเป็น 5 แบบคือ Floral Fruity, Floral Oriental, Floral Water, Floral Green และ Floral Aldehyde กลิ่นยอดฮิตของกลุ่มนี้คงต้องยกให้ Chloé Eau de Parfum และ Miss Dior ซึ่งเป็นน้ำหอมสุดคลาสสิก ที่ผู้หญิงทุกคนควรมีไว้ในครอบครอง

oriental,น้ำหอม,สร้างแบรนด์,กลิ่นน้ำหอม

Oriental น้ำหอมกลิ่นเครื่องเทศ เป็นกลิ่นที่ได้จากเครื่องเทศที่มีความเผ็ดหรือหวาน ให้ความรู้สึกหรูหรา ดูมีระดับ เช่น Cinnamon หรือพริกไทยดำ ผสมกับความหวานของวานิลลาและแอมเบอร์ กลิ่นน้ำหอมโทนนี้จะมีการผสมของโทน Spices กับ Floral อย่างพวกมะลิเข้าไป เช่น Flowerbomb Victor & Roft, Tom Ford Tobacco Vanilla และ Chanel COCO Eau de Parfum

woody,น้ำหอม,สร้างแบรนด์,กลิ่นน้ำหอม

Woody น้ำหอมกลิ่นแมกไม้ กลิ่นน้ำหอมโทนนี้จะมีกลิ่นจำพวกแมกไม้ต่าง ๆ รวมไปถึงกลิ่นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สดชื่นแบบธรรมชาติ เช่น ไม้หอมแก่นจันทน์ เป็นกลิ่นที่มักใช้ในน้ำหอมของผู้ชาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล น้ำหอมในกลิ่นโทนนี้คือ Creed Green Iris Tweed, Tom Ford Black Orchid และ Chanel Bleu de 

Citrus,Fruity,น้ำหอม,สร้างแบรนด์,กลิ่นน้ำหอม

Citrus / Fruity น้ำหอมกลิ่นผลไม้ เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกสดชื่นจากผลไม้ เช่น มะกรูด ส้ม เลมอน และเกรปฟรุต กลิ่นโทนนี้มี Note พวก แอปเปิล พีช ผลไม้ตระกูลเบอร์รี มะม่วง และมักจะผสมคู่กับโทน Floral โดยจะอยู่เป็น Top Note น้ำหอมที่ใช้กลิ่นโทนนี้คือ Jo Malone Orange Blossom และ Chanel COCO Mademoiselle

ปัจจุบันน้ำหอมเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนเราทุกวัน ทุกเวลา เพราะกลิ่นน้ำหอมเป็นสิ่งที่แสดงความเป็นตัวคุณ รสนิยม อารมณ์ และยังสร้างแรงดึงดูดอันน่าประทับใจให้เพศตรงข้ามได้ดีอีกด้วยค่ะ ทุกวันนี้น้ำหอมกลายเป็น 1 ในไอเท็มที่จะบ่งบอกสไตล์ รสนิยม และความเป็นตัวเองได้

Writen By : https://www.wongnai.com/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc,โรงงานผลิตเครื่องสำอาง,โรงน้ำหอม,ilc
ฟิตรับหน้าฝน
ข่าวสาร

ฟิตรับหน้าฝน…การดูแลร่างกายรับมือกับหน้าฝน

ฟิตรับหน้าฝน หน้าฝนมาแล้ว เป็นช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศอับชื้นแบบนี้ เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเป็นยิ่งนัก ใครหลายคนก็คงจะป่วย ไม่สบายไปแล้วบ้าง หรือผู้ที่ยังรอดอยู่ก็อย่าได้วางใจ ต้องหันมาเตรียมตัว เตรียมความฟิตให้กับร่างกายรับหน้าฝนกัน เมื่อถึงช่วงหน้าฝน ฝนตกลงมาทำให้แผนการต่างๆก็ต้องปรับเปลี่ยนไป เคยออกกำลังกายช่วงเวลาเดิมๆก็อาจจะไม่สะดวกนัก จะไดเอทโหดๆก็พาลจะป่วยไม่สบายได้ ซึ่งแน่นอนช่วงนี้เชื้อโรคเยอะต้องสร้างร่างกายให้แข็งแรง พยายามลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการป่วย

ร่างกายอุ่นๆไว้จะดีกว่า ช่วงหน้าฝนแบบนี้พยายามรักษาอุณภูมิของร่างกายให้อบอุ่นเข้าไว้ หากตัวเปียกปอน ตากฝนมาให้รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ พยายามให้ตัวแห้ง สวมเสื้อผ้าแห้งๆ ใครอยู่ในห้องแอร์ก็สวมเสื้อผ้าหนาๆเข้าไว้

ฟิตรับหน้าฝน รักษาร่างกายให้อุ่น

นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ พยายามนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชม.ต่อวัน การนอนหลับที่มีคุณภาพจะช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ช่วยฟื้นฟูระบบต่างๆของร่างกายให้กลับมาฟิตปั๋ง รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย 

ฟิตรับหน้าฝน นอนหลับให้พอ

ล้างมือ ทานร้อน ช้อนกลาง และสวมหน้ากากอนามัย สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ การป้องกันและการไม่แพร่กระจายเชื้อโรค การรับประทานอาหารควรเลือกอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย โดยเฉพาะถ้ารู้สึกร่างกายไม่แข็งแรง ทุกครั้งที่รับประทานอาหารควรล้างมือ และใช้ช้อนกลาง และเมื่อมีอาการป่วยต้องใส่หน้ากากป้องกันเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ไปติดผู้อื่น

ฟิตรับหน้าฝน ล้างมือบ่อยๆ

ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษรักษาได้ทุกโรค แต่ฝนตกแบบนี้จะไปออกกำลังกายได้อย่างไร หลายคนเอาฝนมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งถ้าคุณเป็นมนุษย์ฟิตเนสก็ไม่ต้องกังวล เพราะฟิตเนสเป็นการออกกำลังกายในที่ร่มอยู่แล้ว หรือถ้าติดฝน การเดินทางออกจากบ้านไปฟิตเนสหรือไปวิ่งทำได้ยากเย็น ให้ลองหากิจกรรมการออกกำลังกายที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน เช่น กระโดดเชือก วิ่งอยู่กับที่ เต้นตามวิดีโอออกกำลังแบบต่างๆ พร้อมบอร์ดี้เวทแบบไม่ง้ออุปกรณ์ ก็สามารถชดเชยวันที่ติดฝนได้

ถ้าใครชอบเล่นกีฬาเดี๋ยวนี้สนามกีฬาหลายที่ก็เป็นแบบในร่ม(indoor)แทบทั้งนั้น จะรวมตัวกันไปเตะฟุตบอล ตีแบต เล่นบาส ปีนผาจำลอง ต่อยมวยไทย หรือ ไปเล่น cross fit  ก็สนุกได้เหงื่อไปอีกแบบ

หรือกลุ่มสาวๆที่ชอบกิจกรรมออกกำลังกายแบบผ่อนคลาย ลองหาเวลาไปยืดเหยียดกล้ามเนื้อ กับครอสโยคะ พิลาทิส หรือจะเต้นสะบัดไต่เสาแบบโพลแดนซ์ ปีนผ้า ฯลฯ ก็ได้ทั้งความผ่อนคลาย ฝึกสมาธิพร้อมได้ความแข็งแรงไปพร้อมๆกัน

สำหรับใครที่ไม่เกรงกลัวฝน เป็นขาลุย ทั้งวิ่งทั้งปั่น ก็ควรระวังเรื่องพื้นถนนที่เปียก และการออกกำลังกายในที่แจ้งไว้ด้วย เพราะพื้นหรือถนนเปียกนอกจากลื่นแล้วอาจะเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีช่วงฝนฟ้าคะนองได้ และ ระวังถนนลื่น หรือน้ำเจิ่งนองบดบังหลุมบนถนน ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ฟิตรับหน้าฝน ออกกำลังกาย

อาหารเพื่อความฟิตรับหน้าฝน นอกจากป้องกันโรคและเตรียมร่างกายให้ฟิตแล้วก็ควรเลือกทานอาหารที่เหมาะกับฤดูนี้กันด้วย สิ่งสำคัญคือการเลือกทานอาหารให้หลากหลายครบหมวดหมู่ และทานอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาหารที่เหมาะมากสำหรับหน้าฝนแบบนี้ได้แก่

  • อาหารที่มีวิตามินซีสูง เพราะวิตามินซี จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยต้านโรคหวัดได้โดยตรง ซึ่งอาหารที่มีวิตามินซีสูงได้แก่ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ส้ม มะนาว กีวี พริกหยวก และ ฝรั่ง
  • อาหารที่มีวิตามินอี วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยอาหารที่มีวิตามินอีได้แก่ ผักใบเขียว มะเขือเทศ ไข่ ถั่ว นม น้ำมันพืช และ เนื้อปลา
  • อาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูง มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยจะพบมากในผักที่มีสีเขียว เหลือง ส้ม และแดง เช่น แครอท มะเขือเทศ มะละกอ ฟักทอง บล็อกโคลี่และผักบุ้ง
  • อาหารที่มีวิตามินบี ช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความต้านทานต่อโรค และช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน อาหารที่มีวิตามินบีสูงได้แก่ นม เนื้อสัตว์ ไข่ ผักจำพวกถั่ว ข้าว ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ธัญพืชต่างๆ และผักใบเขียว
  • อาหารที่มีสังกะสี และ ซิลีเนียม จะพบมากในอาหารทะเล นม ไข่ไก่ ตับ ถั่วลิสง และ ข้าวกล้อง ซึ่งแร่ธาตุสองตัวนี้จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
  • กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่มีความสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดขาว และ แอนตี้บอดี้ของร่างกาย โอเมก้า 3 พบมากในอาการจำพวก ปลาทะเล น้ำมันตับปลา ถั่วเหลือง และไข่ไก่
  • อาหารที่มีโปรไบโอติกส์ อย่างโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว โปรไบโอติกส์จะทำหน้าที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ป้องกันร่างกายจากเชื้อไวรัสต่างๆ และช่วยให้การทำทำงานของภูมิต้านทานของร่างกายดีขึ้นอีกด้วย
ฟิตรับหน้าฝน อาหารสำหรับหน้าฝน

เรียบเรียง : lovefitt.com
thaihealth.or.th
manager.co.th doctor.or.th

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
error: Content is protected !!