ข่าวสาร

ข่าวสาร อัพเดทบทความ ความรู้ต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องสำอาง และกิจกรรมภายในต่างๆ จาก บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC)

โลกหลังโควิด,แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหลัง covid-19
ข่าวสาร

โลกหลังโควิด จะเปลี่ยนไปอย่างไร

โลกหลังโควิด จะมีทิศทางเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เชื่อว่าหลายคนติดตามเรื่องนี้อยู่ คำถามที่ว่า “หลังโควิดสิ้นสุด โลกและธุรกิจจะเปลี่ยนไปอย่างไร และผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร” ในที่นี้เรานำเสมอมุมมองของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญกับมุมมองที่น่าสนใจ และเรื่องที่ต้องฉุกคิด ภายใต้การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบทุกมิติของโลก เศรษฐกิจ การเงิน สังคม วิถีชีวิต ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงว่า แม้หลังสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกคลี่คลาย นักวิเคราะห์ต่างมีความเห็นตรงกันว่า ‘โลกจะไม่เหมือนเดิม’ บางอย่างจะเปลี่ยนไปจากเดิมอัน สืบเนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน ทำให้เกิดเป็นวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal คำถามที่เราต้องเร่งหาคำตอบคือ…อะไรที่จะไม่เหมือนเดิม

โลกหลังโควิด,แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหลัง covid-19

Globalization สู่ Deglobalization


นายสุพริศร์ สุวรรณิก เศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) จะมีความเข้มข้นมากขึ้น และทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก่อนเกิดวิกฤตครั้งนี้ เราได้เห็นหลายประเทศใช้นโยบายแบบเน้นตนเอง (inward-looking policy) หรือปกป้องทางการค้า (protectionism) อย่างชัดเจนกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะจากสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ส่งเสริมให้บริษัทสัญชาติอเมริกันกลับมาผลิตในประเทศมากขึ้นและกีดกันการค้าจากต่างประเทศ
ประเด็นนี้กลับมาชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกด้วยวิกฤตโควิด-19 ที่กำลังตอกย้ำความเชื่อของฝ่ายขวาจัดและผู้ไม่สนับสนุนโลกาภิวัตน์ว่า การพึ่งพิงระบบการผลิตระหว่างประเทศมากเกินไปเป็นเรื่องอันตราย ซึ่งจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกที่มีอยู่แล้วให้ยิ่งรวดเร็วมากขึ้น

จาก Free Trade สู่ Protectionism


ทั้งมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าประเทศต่างๆ จะหันมาพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในประเทศตนเองเพิ่มขึ้นอีก และกระจายความเสี่ยงด้านการผลิตและขายสินค้าโดยไม่พึ่งพาแต่ประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น เพราะเห็นผลกระทบชัดเจนจากขั้นตอนการผลิตหรือตลาดขายสินค้าเมื่อยามที่ต้องปิดตัวลง ซึ่งเป็นผลจากมาตรการต่างๆ อาทิ การปิดเมืองหรือประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
นอกจากนี้รัฐบาลประเทศต่างๆ อาจเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็น “โอกาส” ในการคิดทบทวนอย่างรอบคอบว่านโยบายเศรษฐกิจของประเทศจะเดินไปในทิศทางใด โดยจะพยายามกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยไม่พึ่งพารายได้ทางใดทางหนึ่งจนเกินไป อาทิ ไม่พึ่งพาแต่การส่งออกหรือการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่อาศัยการบริโภคและการลงทุนในประเทศเป็นเครื่องจักรสำคัญด้วย
โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขจะได้รับการแก้ไข
วิกฤตโควิด-19 สร้างแรงกดดันให้รัฐบาลหลายประเทศ หันมาใส่ใจพื้นฐานด้านสาธารณสุขของประชาชนและไม่ปล่อยให้กลไกตลาดเป็นตัวจัดการอย่างที่เคยเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ ที่ระบบสาธารณสุขไม่มีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า วิกฤตครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการที่บุคคลจะเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้หรือไม่นั้น ไม่ควรเป็นเรื่องของปัจเจกชนอีกต่อไป
เพราะคนคนหนึ่งที่จริงๆ แล้วเป็นพาหะของโรคอยู่ แต่ไม่สามารถไปใช้บริการตรวจไวรัสได้เพราะจ่ายเงินค่าตรวจไม่ไหวทั้งๆ ที่อยากไป และคงใช้ชีวิตแบบเดิมตามปกติ ทำให้แพร่โรคระบาดต่อไปให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวได้ จนในที่สุดการควบคุมโรคในภาพรวมจะทำได้ยากลำบาก และเป็นเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดหนักหนากว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ดังที่ปรากฏในปัจจุบันตามยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแซงหน้าอิตาลีไปแล้ว ดังนั้นหลังผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ เราอาจได้เห็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นของระบบรัฐสวัสดิการในแต่ละประเทศก็เป็นได้

โลกหลังโควิด,New Normal

New Normal สู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ


ทุกวิกฤตย่อมทิ้งร่องรอย (legacy) ไว้เสมอ ย้อนกลับไปในสมัยการระบาดของโรคซาร์สในปี 2545 ก็สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับการใช้เทคโนโลยีออนไลน์อย่างอีคอมเมิร์ซในจีน ให้มาเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนอย่างสูง โดยเฉพาะอาลีบาบาและเจดีดอทคอม เพราะผู้คนหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากพื้นที่สาธารณะและหันมาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น มาถึงวิกฤตครั้งนี้ก็จะทิ้งร่องรอยไว้เช่นกัน โดยเป็นการตอกย้ำให้ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิมต้องเร่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพื่อช่วงชิงตลาดจากการค้าขายแบบออนไลน์มากขึ้นอีก รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลหลายประเภทที่มีมานานแล้วแต่ยังไม่มีคนใช้กันมากนัก วิกฤตครั้งนี้กลับบังคับให้คนต้องหันมาใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างจริงจัง และสร้างโอกาสต่อยอดให้มีผู้เล่นในตลาดมากยิ่งขึ้น อาทิแพลตฟอร์มที่ช่วยสื่อสารทางไกล จัดประชุม หรืออีเวนท์ ซึ่งผู้บริโภคจะเกิดความคุ้นเคยและเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้เทคโนโลยีอย่างถาวร นอกจากนี้แม้กระทั่งสถาบันการศึกษาก็ต้องพัฒนาไปใช้วิธีการสอนแบบออนไลน์ทดแทนทั้งหมดในช่วงวิกฤต ซึ่งอาจพลิกโฉมระบบการศึกษาโลกไปโดยสิ้นเชิงหลังผ่านพ้นวิกฤตแล้ว
ประเด็นสุดท้ายคือผู้คนอาจจะกลัวการใช้เงินสดหรือธนบัตร เพราะกระดาษอาจเป็นพาหะของเชื้อโรคได้แม้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว และจะเริ่มคุ้นชินกับการรักษาสุขอนามัยอย่างเข้มงวด ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่คำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพ ด้วยปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

โลกหลังโควิด,อาหารปลอดภัย

โลกมุ่งสร้างความมั่นคงด้านอาหารปลอดภัย


ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ระบุว่า โลกหลังโควิดคงเน้นความเพียงพอของอาหารมากขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ WHO, FAO, และ WTO ออกแถลงการณ์ร่วมกันห่วงใยการขาดแคลนอาหารในโลก ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการปิดพรมแดนจากการล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆ ทำให้การขนส่งอาหารถูกกระทบจากปัญหาด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ
ดังนั้นหลังโควิด-19 ความมั่นคงทางอาหารยังเกี่ยวโยงกับความมั่นคงทางสุขภาพ สาธารณสุข เช่น เรื่องการผลิตและบริโภคอาหารปลอดภัย อาหารปลอดสารพิษ อาหารที่เสริมภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรค อาหารที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง อาหารที่ฟื้นฟูสุขภาพ อาหารที่กระบวนการผลิตปลอดจากการปนเปื้อนเชื้อโรคและสารเคมีที่อันตรายต่างๆ เหล่านี้ ที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องมีการศึกษา การวิจัย การเรียนการสอน การปฏิบัติ การรับเอานวัตกรรมต่างๆ เข้ามาใช้อย่างมากในเวลาอันสั้น เรื่องเทคโนโลยีการผลิตยา วิตามิน เวชภัณฑ์ การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ น่าจะเป็นทิศทางของกิจกรรมทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน ประเทศต่างๆ คงพัฒนานักเทคโนโลยีของตนให้มากที่สุด
สำหรับประเทศไทยเองก็คงต้องสร้างระบบนิเวศน์ในการสร้างนวัตกรรม (Eco-System for Innovation) ของคนไทย ที่ชักชวนให้แรงจูงใจคนให้มาร่วมคิดร่วมประดิษฐ์ ร่วมพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ทางการแพทย์ต่างๆ ทั้งยาป้องกันโรค ยารักษาโรค เวชภัณฑ์ต่างๆ ที่เรามีประสบการณ์แล้วว่าที่ผ่านมายามคับขันเขาขาดแคลนอะไร เพียงใด และเราควรส่งเสริมนักเทคโนโลยีไทยอย่างไร เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางสาธารณสุข

Digital Transformation


วิทยาศาสตร์ของข้อมูลสถิติ (Data Science) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะช่วยหาคำตอบในเรื่องต่างๆ จะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการคาดการณ์และเข้าใจการระบาดของโรค การแก้ไขการระบาด และระบบการติดตามผู้อาจติดเชื้อ (Test and Trace) เป็นข้อมูลใหญ่ที่ผ่านการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง (Big Data Analytic) ซึ่งในอดีตหลายประเทศอาจไม่ได้ให้ความสำคัญพัฒนาระบบเหล่านี้ เพราะไม่เคยคาดคิดว่าจะมีสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน อาทิเช่น
การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน จากการสร้างระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และการปิดสถานที่ต่างๆ ตามมาตรการสาธารณสุขในเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก (ถ้ารวมเขตปกครองพิเศษต่างๆ ก็จะถึง 210 แห่ง) ทำให้เทคโนโลยีเข้ามาบงการชีวิตคนอย่างไม่มีทางเลือก ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีความพร้อมหรือไม่ก็ตาม
การเรียนการสอนออนไลน์ การประชุมของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาสังคมผ่านระบบทางไกล เช่น วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ การซื้อของ การสั่งอาหารออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มและบริการต่างๆ การใช้เทคโนโลยีในบริการทางการเงินที่เต็มรูปแบบยิ่งขึ้นเป็นต้น ก็กลายเป็นวิถีชีวิตของคนรวมทั้งคนไทยไปแล้ว แต่ขณะเดียวกันการขนส่ง ส่งมอบสินค้าที่สั่งออนไลน์ (Delivery Service) ก็กลายเป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วและต้องการคนทำงานมากขึ้นอย่างมาก
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ธุรกิจบริการที่สนองต่อวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เฟื่องฟูขึ้นอย่างมาก มีการเติบโตหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เกิดขึ้นหลายระบบในเวลาอันสั้น และจะมีธุรกิจเหล่านี้เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ความจำเป็นในการเดินทางในธุรกิจระหว่างประเทศลดลง
กล่าวได้ว่าเทคโนโลยีในชีวิตของโลกหลังโควิค คงไม่กลับมาสู่ระดับการใช้เทคโนโลยีก่อนโควิดอีกแล้ว แต่จะไปไกลขนาดไหน เทคโนโลยีออนไลน์จะกระทบอาชีพใดบ้าง กระทบธุรกิจห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร อาชีพอิสระ อาคารสำนักงาน จะกระทบธุรกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว, การเดินทางมากขนาดไหน จะมีรูปโฉมแตกต่างไปอย่างไร
แยกแยะ..ความผิดปกติปัจจุบัน หรือปกติใหม่
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ระบุการไม่แยกแยะ “ความผิดปกติปัจจุบัน” (current abnormal) ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด เช่น การรักษาระยะห่างทางสังคม กับ “ความปกติใหม่” (new normal) ใน “โลกหลังโควิด-19” เช่นการประชุมผ่านระบบออนไลน์ที่น่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะช่วยลดต้นทุนจากการเดินทาง
การไม่แยกแยะประเด็นอาจทำให้เข้าใจผิดไปว่า พฤติกรรมของมนุษย์เราในช่วงผิดปกติในปัจจุบันส่วนใหญ่จะดำรงต่อเนื่องไป ทั้งที่ประวัติศาสตร์ของการเกิดโรคระบาดใหญ่ในอดีตชี้ว่า ในหลายกรณีพฤติกรรมส่วนใหญ่ในช่วงผิดปกติ จะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว


ดังนั้นก่อนที่เราจะด่วนสรุปว่า “ความปกติใหม่” ใน “โลกหลังโควิด” เป็นอย่างไร และควรดำเนินการอย่างไรนั้น เราควรต้องถามตัวเองอย่างน้อย 5 คำถาม คือ
– เราใช้ข้อสมมติ (assumption) อะไรในการวาดภาพอนาคต?
– เราได้พยายามแยกแยะ “ความผิดปกติปัจจุบัน” (current abnormal) ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดออกจาก “ความปกติใหม่” (New Normal) ใน “โลกหลังโควิด-19” หรือยัง?
– “ความปกติใหม่” ที่เราตั้งเป้าอยากเห็นจะมีต้นทุนสูงเพียงใด เราพร้อมจะจ่ายและสามารถจ่ายได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดใหม่ของระบบเศรษฐกิจไทย ที่น่าจะเติบโตช้าลง ในขณะที่รัฐบาล ธุรกิจ และประชาชนไทย จะมีทรัพยากรน้อยกว่าก่อนเกิดโควิด-19 มาก?
– การสร้าง “ความปกติใหม่” ตามที่เราจินตนาการไว้ จะต่อยอดจากการลงทุนสร้าง “ความปกติเดิม” ก่อนเกิดโควิด-19 อย่างไร ทั้งทุนกายภาพและทุนมนุษย์ ซึ่งหาก “ความปกติ” ใน 2 ช่วงเวลาแตกต่างกันมาก เราจะทำอย่างไรไม่ให้การลงทุนมหาศาลในอดีตสูญเปล่า?
– เราเข้าใจบริบทใหม่ (new context) ในเศรษฐกิจการเมืองโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไปดีพอหรือยัง ที่จะทำให้เราปรับตัวได้อย่างเหมาะสมกับบริบทใหม่นี้?
ดังนั้นการทำความเข้าใจต่อ “ความปกติใหม่” ใน “โลกหลังโควิด-19” มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างมาก เราจึงควรช่วยกันศึกษาให้ดี ไม่ควรด่วนสรุปจากการหาคำตอบแบบผิว

แหล่งอ้างอิงได้ที่

: https://tdri.or.th/2020/04/new-normal-in-post-covid-world/
: http://doh.hpc.go.th/bs/issueDisplay.php?id=390&category=B10&issue=CoronaVirus2019
: https://www.thereporters.co/feature/world-after-covid19-new/

วิธีดูแลผิวหน้าฝน
ข่าวสาร

วิธีดูแลผิวหน้าฝน ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ 8 ข้อ

วิธีดูแลผิวหน้าฝน ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ 8 ข้อ ที่จะทำให้ผิวพรรณของสาว ๆ สดใสเปล่งปลั่ง และมีสุขภาพดีตลอดหน้าฝนนี้ จะมีวิธีใดบ้างนั้น มาดูกันเลย…

ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกวัน นอกจากสาว ๆ จะต้องระวังเรื่องสุขภาพร่างกายแล้ว ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพผิวหนังที่อาจเกิดความสกปรกและความอับชื้นที่มากับฝนได้ เพราะในน้ำฝนนั้นมีทั้งฝุ่นละออง สารเคมี รวมถึงเชื้อโรคและสิ่งสกปรกมากมาย รวมถึงฝนในเมืองนั้นยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ยิ่งเราสัมผัสน้ำฝนที่ปนเปื้อนแล้ว อาจทำให้ผิวหนังของเราแพ้และเป็นอันตรายได้ค่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยมีวิธีดูแลผิวในหน้าฝนนี้มาฝากให้สาว ๆ ทุกคนได้ดูแลสุขภาพผิวของตัวเองให้มีสุขภาพดี เปล่งปลั่ง และเนียนนุ่มชุ่มชื่นตลอดช่วงฤดูกาลแห่งความชุ่มฉ่ำนี้แล้วค่ะ

  • ชำระล้างร่างกายให้สะอาด ช่วงฤดูฝนแบบนี้ควรหลีกเลี่ยงการโดนฝนจะดีที่สุดนะคะ แต่หากสาว ๆ คนไหนที่เพิ่งเปียกฝนมาละก็ เมื่อกลับถึงบ้านให้รีบอาบน้ำล้างหน้า และสระผมด่วน ๆ เลยนะคะ เพราะนอกจากจะเสี่ยงเป็นหวัดแล้วยังเสี่ยงต่อผิวเสียอีกด้วย เพราะในน้ำฝนมีทั้งฝุ่นละออง สิ่งสกปรก และเชื้อโรคมากมาย ซึ่งอาจทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ได้ค่ะ
ชำระล้างร่างกายให้สะอาด
  • ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า บางครั้งการล้างหน้าอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะในน้ำฝนนั้นมีแต่ฝุ่นและมลพิษมากมาย จึงแนะนำว่าหลังล้างหน้าเสร็จ ควรเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าด้วยโทนเนอร์สูตรปราศจากแอลกอฮอล์ เพื่อขจัดสิ่งตกค้างบนรูขุมขน อันเป็นสาเหตุของสิวอุดตัน และยังช่วยกระชับรุขุมขน และช่วยปรับสภาพผิวหน้าให้พร้อมก่อนการบำรุงในขั้นต่อไปอีกด้วยค่ะ
  • บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ ในช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่มีความชื้นในอากาศค่อนข้างมาก อาจทำให้ผิวแห้ง และขาดความชุ่มชื้นได้ สาว ๆ จึงควรหมั่นบำรุงผิวด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันผิวแห้งและช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้อยู่กับผิวได้นานยิ่งขึ้นค่ะ
บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
  • ทาครีมกันแดด ถึงแม้ว่าแสงแดดในหน้าฝนจะไม่แรงเท่าแดดในหน้าร้อน เพราะท้องฟ้าดูมืดครึ้มตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ก็ยังทะลุผ่านก้อนเมฆมาทำร้ายผิวของสาว ๆ ได้อยู่ดี โดยเฉพาะรังสียูวีเอและยูวีบี ที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ฝ้า กระ และจุดด่างดำ ดังนั้นสาว ๆ จึงควรทาครีมกันแดดทุกวัน แม้วันนั้นจะมีฝนตกหรือแดดร่มก็ตาม โดยเลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำที่มีความบางเบาและไม่เหนียวเหนอะหนะ
  • ไม่ต้องแต่งหน้าเยอะ แม้ว่าปัจจุบันจะมีเครื่องสำอางที่กันน้ำได้ดีเยี่ยมออกมาช่วยให้สาว ๆ สามารถแต่งหน้าได้โดยไม่ต้องกลัวเมคอัพจะเปียกน้ำจนไหลเยิ้มก็ตาม แต่ในช่วงฤดูฝนจะมีความชื้นในอากาศเยอะ ซึ่งมีผลทำให้รูขุมขนกว้างได้ง่าย ๆ กว่าสภาพอากาศแบบปกติ ทางที่ดีสาว ๆ ควรแต่งหน้าแบบเบาบาง โดยใช้เครื่องสำอางหรือรองพื้นที่ไม่หนามากเกินไป เพราะอาจทำให้รูขุมขนอดตัน และเกิดสิวได้ง่ายค่ะ
ไม่ต้องแต่งหน้าเยอะ
  • ขัดสครับผิวและพอกหน้า ความชื้นจากฝนจะทำให้ผิวเกิดการอุดตันได้ง่าย ดังนั้นสาว ๆ จึงควรทำความสะอาดผิวด้วยการขัดผิวเบา ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยขจัดสิ่งอุดตันและขัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกไป และอาจพอกหน้าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
  • ดื่มน้ำบ่อย ๆ ในฤดูฝน อากาศจะค่อนข้างเย็น อาจทำให้สาว ๆ หลายคนไม่ค่อยหิวน้ำสักเท่าไรนัก แต่อย่างไรแล้วก็ควรดื่มน้ำบ่อย ๆ วันละ 8-10 แก้ว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ผิวในร่างกาย และช่วยให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใสอีกด้วยค่ะ
วิธีดูแลผิวหน้าฝน ดื่มน้ำบ่อยๆ
  • กินผักผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์ การกินผัก-ผลไม้ และอาหารที่ให้วิตามินหลากหลายชนิด จะช่วยให้ผิวพรรณของสาว ๆ ดูสดใสมีสุขภาพดี มีน้ำมีนวล และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเป็นไข้หวัดได้ดีอีกด้วย เพื่อการดูแลผิวให้มีสุขภาพดีตลอดช่วงหน้าฝนนี้ สาว ๆ ทั้งหลายก็อย่าลืมนำวิธีดูแลผิวที่เรานำมาฝากนี้ไปใช้กันนะคะ คราวนี้ต่อให้ฝนจะตกบ่อยแค่ไหน แค่มี วิธีดูแลผิวหน้าฝน ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมีผิวสวยสดใสของเราแล้วล่ะค่ะ ^_^
วิธีดูแลผิวหน้าฝน กินผักผลไม้

ข้อมูล วิธีดูแลผิวหน้าฝน จาก : fashion.mithilaconnect.com, rewardme.in, skymetweather.com

contact ilc

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

HEART RATE
ข่าวสาร

HEART RATE กับออกกำลังกาย สำคัญอย่างไร

HEART RATE กับออกกำลังกาย นักวิ่ง นักปั่นจักรยาน หรือนักกีฬาแนวคาดิโอมือใหม่หลายๆคนสงสัยคำว่า อัตราการเต้นของหัวใจเรามันสำคัญต่อการปั่นจักรยาน หรือออกกำลังกายยังไง
หัวใจของเราจะมีการเต้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปให้ส่วนต่างๆของร่างกายเรา โดยอัตตราการเต้นของหัวใจเขาวัดค่ากันออกมาเป็นหน่วย ครั้ง/นาที ซึ่งยิ่งเราออกกำลังกายให้หนัก หรือเหนื่อยมากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจก็จะยิ่งเต้นเร็วมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นสำหรับนักกีฬาหรือคนที่ชอบออกกำลังกาย ส่วนใหญ่จะใช้ตัว Heart Rate Monitor หรือตัววัดอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อบอกให้รู้ว่า ตอนนี้เครื่องยนต์หรือร่างกายของเรากำลังทำงานอยู่ระดับไหน เพื่อที่จะประเมินความสามารถของร่างกาย ว่าจะออกกำลังกายต่อ หรือจะพักดี

ออกกำลังกายคุมโซน Heart Rate
Outdoor portrait of group of women running in the park.

ออกกำลังกายคุมโซน Heart Rate เท่าไหร่ดี จึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด!
หากคุณกำลังมีอาการเหนื่อยหอบ รู้สึกหายใจไม่ทันขณะกำลังออกกำลังกาย หรือสงสัยว่าการออกกำลังกายที่ฝึกซ้อมอยู่มีระดับความเข้มข้นเพียงพอที่จะส่งผลดีต่อร่างกายหรือไม่ ออกกำลังกายหนักไปหรือเบาไปรึเปล่า เมื่อคุณมองไปรอบๆ คนที่อยู่ข้างๆคุณนั้นแทบจะไม่มีเหงื่อแตกออกมาเลย ในขณะที่คนข้างหน้าเปียกโชกทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘เหงื่อ’ อาจไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดในการออกกำลังกาย แต่ ‘หัวใจ’ ของเราต่างหากที่จะบอกเราได้

  1. อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (Maximal Heart Rate – MHR)
    ตัวเลขนี้มีความเกี่ยวข้องกับ ‘อายุ’ ของคุณด้วยในขณะที่เรามีอายุมากขึ้น หัวใจของเราจะเริ่มเต้นช้าลงกว่าเดิมเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ เพศ , ประเภทกีฬา ที่มีผลต่อค่าประมาณอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดแต่ละคน
    มีผู้คิดค้นสูตรคำนวณ Max Heart Rate ไว้หลายสูตร ซึ่งแต่ละสูตรมีความแม่นยำที่แตกต่างกัน
    1. สูตรที่ใช้อายุ : คิดค้นโดย Fox เป็นสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ผลการวิจัยพบว่ามีความแม่นยำน้อยกว่าสูตรของ Tanaka
    2. สูตรที่ใช้อายุ เพศ และกิจกรรมที่ทำ : คิดค้นโดย Tanaka เป็นสูตรที่มีการทดลองเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์กับสูตรของ Fox ผลปรากฏว่ามีความแม่นยำมากกว่า
สูตรคำนวณ Heart Rate

หมายเหตุ : ผลการวิจัยอ้างอิงจาก NCBI (National Center for Biotechnology Information) ที่เป็นส่วนหนึ่งของห้องสมุดแพทย์แห่งชาติของอเมริกา หรือ United States National Library of Medicine (NLM) ที่เป็นหน่วยงานย่อยของ National Institutes of Health

  1. โซนอัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมาย (Target Heart Rate Zone)
    นี่คือจำนวนการเต้นต่อนาที (bpm) ที่หัวใจของคุณควรเต้นในระหว่างการออกกำลังกายแบบแอโรบิค
    “สำหรับคนที่มีสุขภาพดี ช่วงที่ดีที่สุดคือ 50 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (Zone1 – Zone3)”
    ดังนั้นหากอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดของคุณคือ 180 bpm ค่าต่ำสุดของช่วง (50 เปอร์เซ็นต์) จะเท่ากับ 90 bpm และค่าสูงสุดของช่วง (80 เปอร์เซ็นต์) จะเป็น 144 bpm
    Heart Rate Zone แต่ละช่วงจะให้ประโยชน์กับร่างกายที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราควรกำหนดเป้าหมายในการออกกำลังกายให้ชัดเจน แล้วเน้นออกกำลังกายให้มีอัตราการเต้นของหัวใจต่อนาทีอยู่ในช่วงโซนนั้น ตัวอย่างเช่น
    1. ออกกำลังเพื่อรักษาสุขภาพ ฟื้นฟูร่างกาย ควรออกกำลังกายเบาๆให้อยู่ในโซน 1
    2. เน้นลดน้ำหนัก ลดไขมัน ควรออกกำลังกายให้อยู่ในโซน 2
    3. เน้นความฟิต เพิ่มความแข็งแกร่ง ควรออกกำลังกายให้อยู่ในโซน 3 หรือโซน 4
    4. เน้นการแข่งขัน ทรหดอดทน ควรออกกำลังกายให้อยู่ในโซน 5
      สามารถดูข้อมูลประโยชน์ของการออกกำลังกายทั้ง 5 โซนได้จากภาพด้านล่าง
Heart Rate 5 Zone

‘ช่วงอัตราการเต้นของหัวใจที่แนะนำ’ หมายความว่าอย่างไ
HEART RATE กับออกกำลังกาย ตอนนี้เราได้ทราบโซนอัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมายแล้ว คุณจำเป็นต้องรู้วิธีนำข้อมูลนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะใช้เป็นแนวทางเพื่อบ่งบอกว่า คุณควรออกกำลังกายหนักแค่ไหน
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกายแบบแอโรบิก ควรตั้งเป้าหมายไว้ที่จุดต่ำสุดของโซน และค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวจนรู้สึกออกกำลังกายได้อย่างสบายๆ สำหรับผู้ที่ต้องการความฟิตหรือผู้ที่กำลังฝึกซ้อมเพื่อการแข่งขัน อาจต้องตั้งเป้าหมายไปที่ตัวเลขท้ายสุดของโซน
จากที่กล่าวไปในตอนต้นของบทความว่า ‘อายุ’ ส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ดังนั้นแต่ละช่วงวัยจึงมีค่าอัตราการเต้นของหัวใจในแต่ละโซนที่ไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น อัตราการเต้นของหัวใจโซน 2

สามารถดูข้อมูล Heart Rate Zone ของแต่ละช่วงอายุได้จากภาพด้านล่าง

ออกกำลังกายคุม zone heart rate,HEART RATE กับออกกำลังกาย

สำคัญ!
โปรดทราบว่า นี่เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ หรือมีปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
วิธีตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ
ปัจจุบันมีเครื่องมือที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจหลากหลายมาก แต่อุปกรณ์ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำก็คือ ‘สมาร์ทวอช’ ที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ แต่จุดของร่างกายที่สะดวกที่สุดในการตรวจจับชีพจร คือ นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง และอีกจุดคือบริเวณด้านข้างของลำคอ
วิธีเบื้องต้นที่ทำได้ง่ายที่สุด คือ การนับชีพจรด้วยการใช้สองนิ้วแรกของมือเดียวกัน แตะไปบริเวณที่มีหลอดเลือด ที่พบเห็นได้บ่อยก็คือบริเวณข้อมือ ควรจับชีพจรทันทีหลังจากออกกำลังกายและนับจำนวนการเต้นของชีพจรในระยะเวลา 10 วินาที
จากนั้นนำมาคำนวณอัตราการเต้นของหัวใจต่อนาที โดยนำจำนวนการเต้นต่อ 10 วินาที มาคูณด้วย 6 ตัวอย่างเช่น หากนับชีพจร 10 วินาทีได้เท่ากับ 20 ดังนั้นอัตราการเต้นของหัวใจจะเป็น 120 bpm (20 x 6)
HEART RATE กับออกกำลังกาย บทสรุป
จำไว้ว่าโซนอัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมายเป็นเพียงค่าโดยประมาณเท่านั้น หากคุณรู้สึกว่าตัวเองออกกำลังกายหนักเกินไป ให้ลองลดความเข้มข้นในการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬา แล้วลองหาช่วงอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสมกับตัวเองด้วยการลดตัวเลขควบคู่ไปกับการวัดจากความรู้สึกขณะออกกำลังกาย


ข้อมูลจาก www.teambeyondsport.com
https://www.fitnessconcept.com.my/fit-facts/heart-rate-zones

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc

การฉีดวัคซีน COVID-19
ข่าวสาร

การฉีดวัคซีน COVID-19 รู้ให้ชัดก่อนฉีดวัคซีน COVID-19

การฉีดวัคซีน COVID-19 ได้รับการยืนยันแล้วว่าช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะต้องทำควบคู่ไปกับการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือให้บ่อย และเลี่ยงพื้นที่แออัด ดังนั้นก่อนฉีดวัคซีน COVID-19 ควรรู้และเข้าใจข้อมูลให้ถูกต้อง

โรค COVID-19
โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาซาร์โควี-2 (SAR-CoV-2) เป็นการแพร่เชื้อไวรัสจากคนสู่คน โดยได้รับเชื้อละอองฝอย (Droplets) จากการไอหรือจาม การสัมผัสสารคัดหลั่ง (Contact) เช่น น้ำลาย น้ำมูก เสมหะ เป็นต้น

ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใด ๆ บางรายอาจมีอาการเล็กน้อย เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รู้สึกเหมือนมีไข้ เจ็บคอ และบางรายอาจมีอาการรุนแรง เช่น ติดเชื้อรุนแรงในปอด หรือมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ จะมีอัตราการเกิดอาการรุนแรงที่สูงกว่าผู้ที่มีอายุน้อยและสุขภาพแข็งแรง เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะเวลาฟักตัว (ตั้งแต่ได้รับเชื้อไปจนถึงแสดงอาการ) ประมาณ 2 – 14 วัน จึงได้มีการกำหนดมาตรการให้กักตัวผู้มีความเสี่ยงสูงเมื่อสัมผัสผู้ติดเชื้อเป็นเวลา 14 วัน

การฉีดวัคซีน COVID-19


วัคซีน COVID-19
โดยปกติเมื่อเชื้อโรคทุกชนิดเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะมีวิธีจัดการเชื้อหลายแบบ หนึ่งในนั้นคือเม็ดเลือดขาวชนิด Macrophage จะกลืนเชื้อเข้าไปและทิ้งเศษซากเชื้อบางส่วนไว้เรียกว่า แอนติเจน (Antigen) ร่างกายจะรับรู้ว่าแอนติเจนคือสิ่งแปลกปลอมและจะสร้างแอนติบอดี (Antibody) มาจัดการสิ่งแปลกปลอมนั้น รวมถึงมีเม็ดเลือดขาวอีกชนิดหนึ่งที่จำว่าเชื้อโรคนี้คือสิ่งแปลกปลอม ถ้าหากได้รับเชื้อในอนาคตร่างกายจะสามารถจดจำและจัดการได้ การทำงานของวัคซีนเป็นไปในลักษณะเดียวกัน
วัคซีนป้องกันโควิด-19 จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสนี้ขึ้นมา ช่วยป้องกันการติดเชื้อหากได้รับเชื้อในอนาคต แต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งหลังฉีดวัคซีนร่างกายจึงจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ การฉีดวัคซีนผู้รับวัคซีนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เช่น ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างทางสังคม เป็นต้น

วัคซีนอาจไม่สามารถป้องกันทุกคนที่ฉีดจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ แต่พบว่าสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ และยังไม่มีข้อมูลว่าเมื่อฉีดแล้วจะมีภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้นานเท่าไร รวมถึงไม่มีข้อมูลว่าผลการฉีดวัคซีนให้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันนั้น ทำให้ภูมิต่อไวรัสโควิด-19 มีผลลดลงกว่าในคนปกติหรือไม่

ชนิดของวัคซีน COVID-19
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก มีการคิดค้นวัคซีนโควิด-19 โดยหลายบริษัทผู้ผลิตและหลายรูปแบบ วิธีการผลิตวัคซีนหรือที่มาของวัคซีนมีหลายวิธีการ แต่ทั้งหมดคือให้ต่อต้านไวรัสโคโรนาซาร์โควี-2 (SAR-CoV-2) ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายเพื่อไปก่อโรคได้ โดยที่ไวรัสนี้จะมีส่วนที่เป็นไกลโคโปรตีนยื่นออกจากเซลล์เรียกว่าสไปค์ (Spike) จะไปจับกับตัวรับ (Receptor) ที่อยู่บนเซลล์ในร่างกาย เช่น ที่ทางเดินหายใจหรือลำไส้ เมื่อจับกันแล้วไวรัสก็จะเข้าสู่ร่างกายและไปก่อโรค โดย 4 วิธีการที่มีการผลิตมากที่สุด ได้แก่

  1. messenger RNA (mRNA) vaccine เป็นวัคซีนที่มีส่วนที่กำกับการสร้างโปรตีนของไวรัส SAR-CoV-2 ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อฉีดวัคซีนแล้วร่างกายจะสร้างโปรตีนชนิดนั้นขึ้นมาและทำลาย mRNA ที่ฉีดเข้าไป จากนั้นร่างกายจะรับรู้ว่าโปรตีนที่สร้างขึ้นมานั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมและจะสร้างระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมา
  2. Viral Vector เป็นวัคซีนที่ตัดต่อทางพันธุกรรมโดยการใช้สารทางพันธุกรรมของไวรัส SAR-CoV-2 ใส่เข้าไปในตัวไวรัสชนิดอื่นที่ไม่ก่อโรค (เรียกไวรัสนี้ว่า Viral Vector) เมื่อฉีดวัคซีนเข้าไปในร่างกายแล้ว Viral Vector จะพาเอาสารพันธุกรรมนั้นเข้าไปในเซลล์ของเรา ทำให้เกิดการสร้างโปรตีนที่จำเพาะต่อเชื้อไวรัส SAR-CoV-2 ขึ้นมา จากนั้นร่างกายจะรับรู้ว่าโปรตีนที่สร้างขึ้นมานั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมและจะสร้างระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมา
  3. Inactivated Virus Vaccine หรือวัคซีนเชื้อตาย ผลิตโดยการเลี้ยงไวรัสชนิดนี้ให้ได้ปริมาณมากแล้วมาทำให้ตายด้วยสารเคมีหรือความร้อน เมื่อฉีดวัคซีนแล้วร่างกายจะรับรู้ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมและจะสร้างระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมา
  4. Protein Subunit Vaccine เป็นการผลิตวัคซีนมาจากโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อไวรัส SAR-CoV-2 ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อฉีดวัคซีนแล้วร่างกายจะรับรู้ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมและจะสร้างระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมา
วัคซีนโควิด

ใครควรได้รับวัคซีน
บุคคลทั่วไปควรได้รับวัคซีน แต่ขณะนี้มีการผลิตวัคซีนได้ในจำนวนจำกัดและมีข้อมูลการฉีดในประชากรบางกลุ่มเท่านั้น กรมควบคุมโรคจึงกำหนดกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับวัคซีนตามลำดับ เริ่มจากพื้นที่ที่มีการระบาดก่อน ได้แก่

  1. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน
  2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น
  3. ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (ข้อมูล ณ วันที่ 3 มีนาคม 2564 ประชากรกลุ่มนี้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้บางชนิดเท่านั้น)
  4. เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19 เช่น อสม./อสต. ทหาร ตำรวจ จะต้องคัดกรองผู้ที่เข้ามาจากต่างประเทศและในพื้นที่ที่มีการระบาด
    ***ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องการให้วัคซีนในเด็กต่ำกว่า 18 ปี หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แพทย์อาจจะพิจารณาความจำเป็นเป็นราย ๆ ไป ถ้าเห็นว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนจะได้รับประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ผู้ที่รับวัคซีนอาจมีอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนหรือไม่มีก็ได้ อาการข้างเคียงที่อาจพบได้มีดังนี้
• อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวด บวม แดง คัน หรือช้ำบริเวณที่ฉีดยา อ่อนเพลีย และรู้สึกไม่สบายตัว ปวดศีรษะเล็กน้อย อาการคล้ายมีไข้ คลื่นไส้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ
• อาการที่พบได้ไม่บ่อยหรือพบได้น้อย เช่น มีไข้ มีก้อนที่บริเวณที่ฉีดยา เวียนศีรษะ มึนงง ใจสั่น ปวดท้อง อาเจียน ความอยากอาหารลดลง เหงื่อออกมากผิดปกติ ต่อมน้ำเหลืองโต อาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ เป็นต้น


ข้อห้ามในการฉีดวัคซีนโควิด

ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน
มีประวัติแพ้รุนแรงต่อส่วนประกอบของวัคซีน หรือผู้ที่ฉีดเข็มแรกแล้วมีอาการแพ้รุนแรง เช่น หายใจติดขัด (Shortness of Breath) มีอาการบวมที่หน้า ลิ้น หรือในทางเดินหายใจ เป็นต้น
ข้อควรระวัง
สิ่งที่ต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน ได้แก่

  1. มีประวัติการแพ้ยา วัคซีน อาหาร สารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ อย่างรุนแรงหรือจนเป็นอันตรายต่อชีวิต
  2. มีไข้เกิน 38 องศาเซลเซียสในวันที่นัดฉีดวัคซีน
  3. มีรอยช้ำ หรือจ้ำเลือด หรือเลือดออกผิดปกติ หรือใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดอยู่ เช่น วาร์ฟาริน
  4. ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือใช้ยากดภูมิคุ้มกันอยู่ เช่น สเตียรอยด์ขนาดสูง ยารักษาโรคมะเร็ง หรือยากดภูมิคุ้มกัน
  5. อาการข้างเคียงทุกชนิดจากการฉีดวัคซีนชนิดนี้ในเข็มแรก
  6. ตั้งครรภ์ หรือมีแผนจะตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
    ***อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น มีไข้เล็กน้อย แพทย์อาจให้ฉีดวัคซีนได้โดยไม่จำเป็นต้องเลื่อนการฉีด กรณีเจ็บป่วยรุนแรงแพทย์อาจเลื่อนการฉีดออกไปก่อน โดยพิจารณาจากอาการของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

การปฏิบัติตัวหลังได้รับวัคซีน
ผู้ฉีดวัคซีนจะต้องอยู่เฝ้าสังเกตอาการที่สถานพยาบาลหลังฉีดวัคซีนอย่างน้อย 30 นาที โดยระหว่างนั้นและหลังจากนั้นให้สังเกตอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นตามข้างต้น และให้แจ้งอาการข้างเคียงทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่แพทย์ พยาบาล เภสัชกรด้วย เนื่องจากวัคซีนนี้เป็นวัคซีนชนิดใหม่อาจจะมีบางอาการที่ยังไม่พบตามข้างต้น หากมีอาการเล็กน้อย เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ต่ำ ๆ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการได้ หากมีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง ให้มาพบแพทย์โดยทันที และให้เก็บบันทึกการฉีดวัคซีนไว้เป็นหลักฐานด้วย

ตั้งแต่เริ่มมีการพบเชื้อไวรัส COVID-19 ในปลายปี พ.ศ. 2562 นอกจากการสูญเสียชีวิตยังเกิดผลกระทบหลายอย่างตามมาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม การคิดค้นวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจึงเป็นหนทางสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยลดการติดเชื้อและความสูญเสีย ซึ่งปัจจุบันวัคซีนโควิด-19 ยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยทิศทางงานวิจัยในอนาคต คือ ค้นคว้าวิจัยหายารักษาให้ได้และหาวัคซีนที่ได้ผลดีต่อเชื้อทุกสายพันธุ์อย่างปลอดภัย

References การฉีดวัคซีน COVID-19

  1. World Health Organization (WHO) [Internet] [Cited 2021 February 28] Status of COVID-19 Vaccines within WHO EUL/PQ evaluation process. Available from: https://extranet.who.int/pqweb/sites/default/files/documents/Status_COVID_VAX_01March2021.pdf
  2. World Health Organization (WHO) [Internet] [Cited 2021 March 3] COVID-19 – Landscape of novel coronavirus candidate vaccine development worldwide. Available from : https://www.who.int/publications/m/item/draft-landscape-of-covid-19-candidate-vaccines
  3. World Health Organization (WHO) [Internet] [Cited 2021 March 3] ROADMAP FOR PRIORITIZING POPULATION GROUPS FOR VACCINES AGAINST COVID-19. Update 27 September 2020. Available from https://www.who.int/immunization/sage/meetings/2020/october/Session03_Roadmap_Prioritization_Covid-19_vaccine.pdf
  4. Package leaflet. Information for the recipient COVID-19 Vaccine AstaZeneca solution for injection. Update December 2020
  5. Centers for Disease Control and Prevention (CDC) [Internet] [Cited 2021 March 1] COVID-19 Vaccine: Helps protect you from getting COVID-19. Available from: https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/index.html
  6. Centers for Disease Control and Prevention (CDC) [Internet] [Cited 2021 March 1] Understanding How COVID-19 Vaccines Work Updated Jan. 13, 202. Available from : https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/different-vaccines/how-they-work.html
  7. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข [ internet] [Cited 2021 February 20] โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) Available from: https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/faq_more.php
  8. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการให้วัคซีนโควิด 19 ในสถานการณ์การระบาดปี 64 ของประเทศไทย. กุมภาพันธ์ 2564

ข้อมูลโดย https://www.bangkokhospital.com/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc

อัญมณีหินสีเสริมดวง
ข่าวสาร

อัญมณีเสริมดวง – อัญมณีหินสีเสริมดวง ตามสไตล์สาว 12 ราศี

อัญมณีเสริมดวง ตามสไตล์สาว 12 ราศี ยังคงเป็นกระแสแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับเครื่องประดับเสริมดวงอย่างหินนำโชค หรืออัญมณีต่างๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นเหล่าคนดังดาราก็ต่างสวมใสจนเป็นเรื่องราวสุดฮิตข้ามปีตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2020 จนมาในปี 2021 นี้ ก็กลับยิ่งทวีความฮิตเข้าไปอีก เพราะจะเห็นได้จากทั่วไป ผู้คนก็เริ่มนิยมสวมใส่หินหรืออัญมณีกันอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงร้านค้ามากมายก็มีการเริ่มขายเจ้าพวกหินเหล่านี้กันมากขึ้นด้วย
เพื่อเป็นการเอาใจคนที่รักและหลงใหลเครื่องประดับอัญมณีจำพวกหินสีๆ แบบนี้ ILC Horoscope มีข้อมูลที่เกี่ยวกับอัญมณีหรือหินสีเสริมดวงต่างๆ ที่เหมาะสมกับคนแต่ละราศีมาฝากกันดังนี้

อัญมณีเสริมดวงราศีเมษ

ขอบคุณภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/253820128969465300/

ราศีเมษ
อัญมณีเสริมดวง สำหรับชาวราศีเมษคือ เพชร คำว่า Diamond ที่แปลว่าเพชรนั้น มาจากภาษากรีก คำว่า Adamas มีความหมายว่า ไม่มีใครสามารถทำลายได้ ในภาษาฝรั่งเศส คำว่า Diamant ก็แปลว่า ไม่มีวันแพ้ เพชรจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความสำเร็จและกระตุ้นให้เกิดความกล้าหาญได้ ซึ่งดูแล้วเหมาะกับนักริเริ่ม นักบุกเบิกที่แข็งแกร่งอย่างชาวเมษ
อัญมณีที่มีสีขาวใสอย่างเพทาย ขาวก็จัดเป็นอัญมณีประจำราศีนี้เช่นกัน เนื่องจากสีขาวใสเทียบได้กับทารกเกิดใหม่ที่ยังบริสุทธิ์อยู่นั่นเอง
บลัดสโตน(Bloodstone)หรือหินสีเลือด ก็ถูกจัดให้เป็นอัญมณีของราศีเมษ เนื่องจากสีประจำราศีนี้คือสีแดง

อัญมณีเสริมดวงราศีพฤษภ

ขอบคุณภาพจาก http://www.pinterest.com/pin/498984833689423267/

ราศีพฤษภ
พลอยสีเขียว คือ อัญมณีเสริมดวง ของคนราศีพฤษภ ได้แก่ มรกต ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง ความยั่งยืนเป็นอมตะ ส่วนในประเทศจีน หยก ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ค้าขายรุ่งเรื่อง นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าพลอยสีเขียวทั้งหลายจะทำให้เกิดศรัทธาที่มั่นคง และความกล้าหาญ

โมราสีเขียว(Green Agate)เป็นสัญลักษณ์ของทรัพย์สิน ความมั่งคั่งร่ำรวย
(ความหมายของอัญมณีสีเขียวเหล่านี้ มีความหมายไปในทำนองเดียวกับดาวศุกร์ ซึ่งเป็นเกษตรของราศีพฤษภ และสีเขียวยังเป็นสีของการเกษตรกรรมและสีของดาวศุกร์อีกด้วย)

อัญมณีเสริมดวงราศีมิถุน

ขอบคุณภาพจาก http://www.pinterest.com/pin/280771357990737111/


ราศีมิถุน
สำหรับชาวราศีมิถุนผู้แคล่วคล่องว่องไว ชอบพูดคุยเจรจา และมีชีวิตชีวา มีความเป็นหนุ่มสาวอยู่ในตัว เจ้าสามสี หรือ Alexandrite คืออัญมณีหลักของราศีนี้ เป็นพลอยที่สามารถเปลี่ยนสีได้ตามแสงที่ตกกระทบ เชื่อว่าสามารถกระตุ้นพลังงานและเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับผู้สวมใส่
นอกจากนี้อัญมณีสีขาวซีด หรือขาวขุ่น ก็เป็นอัญมณีประจำราศีมิถุนเช่นกัน (สีประจำราศีนี้คือ ซีดๆจางๆ) ได้แก่ ไข่มุกและมุกดาหาร Moonstone ซึ่งแสดงถึงความบริสุทธิ์ ความสดชื่น และอายุที่ยืนยาว

โมรา(Agate) ก็ถูกจัดเป็นอัญมณีของราศีนี้ด้วย อาจเป็นเพราะว่าสีของดาวพุธ เกษตรของราศี คือสีที่เป็นลายๆ เป็นแถบๆ หรือหลากสี ซึ่งโมราเป็นพลอยที่มีสีหลายสีมาก

อัญมณีเสริมดวงราศีกรกฏ

ขอบคุณภาพจาก http://www.pinterest.com/pin/290341507202235404/


ราศีกรกฏ
ในสมัยก่อน ไข่มุก Pearl และ มุกดาหาร Moonstone ถือเป็นอัญมณีของชาวกรกฎ สีขาวเป็นสีประจำราศีนี้ และมีดวงจันทร์เป็นเกษตร สีของดวงจันทร์ในทางโหราศาสตร์คือสีขาวและสีเงิน พลอยทั้งสองชนิดนี้ก็มีสีขาวนวล แถมยังมองดูคล้ายพระจันทร์เต็มดวงอีกด้วย
ไข่มุก เป็นแร่รัตนชาติที่ช่วยเสริมสง่าราศีให้กับสตรี เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนโยนและการปกป้อง และก่อให้เกิดความนุ่มนวลอ่อนหวาน

มุกดาหาร โดยตัวมันเองแล้วมีรูปร่างลักษณะที่เหมือนดวงจันทร์มาก เพราะเป็นหินสีขาวใสถึงขุ่น ผิวเรียบเนียน มันวาว แสงสะท้อนจะดูนวลตา เชื่อว่าเป็นหินที่ช่วยให้รับความรู้สึกต่างๆได้ดีขึ้นโดยเฉพาะความรัก ความอ่อนโยน ความสงบ
ในยุคปัจจุบันทับทิม กลายมาเป็นอัญมณีประจำราศีกรกฏ เชื่อกันว่าทับทิมทำให้เกิดสติปัญญา ความแข็งแรงและความมั่นคงทางอารมณ์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก การกล้าแสดงออก
ในบางครั้ง สปิเนล Spinel ก็ถูกนำมาใช้แทนทับทิมได้เช่นกัน โดยเฉพาะสปิเนลสีแดง ซึ่งหากดูเผินๆแล้วจะมีความคล้ายคลึงกับทับทิมมาก จะต่างตรงที่สปิเนลมีความวาว ความแข็ง และน้ำหนักน้อยกว่า แต่ราคาก็ต่ำกว่าเช่นกัน

อัญมณีเสริมดวงราศีสิงห์

ขอบคุณภาพจาก http://www.pinterest.com/pin/546483736005443722/


ราศีสิงห์

เพอริโดต์ Peridot อัญมณีสีเขียวใสคืออัญมณีประจำราศีสิงห์ซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นเกษตร ว่ากันว่า เพอริโดต์นี้ มีพลังแห่งดวงอาทิตย์แฝงอยู่ จึงสามารถขับไล่วิญญาณของภูตผีปีศาจได้ ทำให้ผู้สวมใส่มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ จึงเหมาะกับชาวราศีสิงห์ อย่างไรก็ดี ชาวสิงห์คงต้องดูแลพลอยชนิดนี้ อย่างทะนุถนอม และระมัดระวังเป็นพิเศษ
เพราะเพอริโดต์ เป็นพลอยที่มีความแข็งไม่มาก (6.5-7) จึงเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย แต่ถ้าหากต้องการอัญมณีที่มีความแข็งมากกว่านี้ ไพฑูรย์ตาแมว Cat’s eye ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งมีความแข็งถึง 8.5
อเวนเจอรีน Aventurine พลอยสีเขียวขุ่นเนื้อละเอียด เป็นของชาวราศีสิงห์เช่นกัน เชื่อกันว่าเป็นหินที่สามารถทำให้ผู้สวมใส่เกิดโชคลาภจากการเสี่ยงดวงหรือการแข่งขัน หรือแม้แต่การออกเดทกับคนรัก จึงเหมาะกับคนราศีนี้ที่ชอบการแข่งขันและไม่ต้องการเป็นผู้แพ้ นอกจากนี้ อเวนเจอรีนยังสามารถปลุกเร้าจิตใจให้เกิดความร่าเริง เพิ่มพลังจินตนาการและการสร้างสรรค์
ทับทิม ก็ถือเป็นอัญมณีของราศีนี้ได้เช่นกัน ในสมัยโบราณทับทิมถือเป็นเครื่องรางเพิ่มความกล้าหาญและความสง่างาม เป็นสัญลักษณ์ของความรักและการกล้าแสดงออก

อัญมณีเสริมดวงราศีกันย์

ขอบคุณภาพจาก http://www.pinterest.com/pin/385972630539569427/


ราศีกันย์
อัญมณีของราศีนี้ คือ ไพลิน Sapphire แต่เดิมถูกเรียกว่า นิลกาฬ แต่สมัยนี้เรียกว่า ไพลิน ตามชื่อของจังหวัดในประเทศกัมพูชาที่เป็นแหล่งของพลอยชนิดนี้ ไพลินเป็นอัญมณีที่สื่อถึงความเมตตากรุณา และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จึงเหมาะกับชาวราศีกันย์ที่เป็นนักบริการ

เพทาย Zircon และ โมรา Agate ก็เป็นพลอยประจำราศีนี้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากพลอยทั้งสองอย่างนี้มีหลายสีมาก ซึ่งเหมือนกับสีของดาวเกษตร คือดาวพุธที่มีสีของดาวคือหลากสีสัน หรือสีที่เป็นลายต่างๆ

เรด แจสเปอร์ Red Jasper ถือว่าเป็นอัญมณีที่สื่อถึงลักษณะของชาวราศีกันย์ได้ชัดเจนมาก เพราะเป็นอัญมณีที่ใช้ในการรักษาความปลอดภัย และการดิ้นรนอยู่รอด ทำให้ผู้สวมใส่มีหลักการในการดำรงงชีวิตอย่างเรียบง่าย

อัญมณีเสริมดวงราศีตุลย์

ขอบคุณภาพจาก http://www.pinterest.com/pin/378795018633646499/


ราศีตุลย์
ชาวราศีตุลย์เป็นคนรักสงบ ประนีประนอม และปรารถนาความสุข รักสวยรักงาม จึงเหมาะกับ โอปอล Opal อัญมณีหลากสีสันที่แต่ละเม็ดจะมีความงามไม่ซ้ำกัน โอปอลนั้น หมายถึง ความสุขและความสมหวัง สามารถนำความรักและความสุขมาให้กับผู้สวมใส่ โดยเฉพาะโอปอลสีเข้ม หรือ แบล็กโอปอล

ไพลิน จัดเป็นอัญมณีของราศีตุลย์เช่นกัน เป็นหินที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ของชีวิตรัก เป็นอัญมณีแห่งสัจธรรมและความดีงาม

เลพิโดไลท์ Lepidolite หินสีชมพูออกม่วง เป็นหินสำหรับผู้ที่ปัญหาด้านความรัก อกหักรักคุด ช่วยให้เปิดกว้างรับสิ่งดีๆที่อยู่รอบตัวเข้าสู่จิตใจ

อัญมณีเสริมดวงราศีพิจิก

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.pinterest.com/pin/35325178302041903/


ราศีพิจิก
ชาวพิจิก เป็นผู้มีความห้าวหาญ เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นสู่เป้าหมายของตน แต่มุทะลุดุดัน จึงคู่กับ บุษราคัม และ โทแพซ Topaz เพราะเป็นอัญมณีที่สื่อถึง ความรอบคอบ การปกป้องจากความทุกข์เข็ญ ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและความกล้าหาญ และช่วยรักษาความสมดุลแห่งอารมณ์ทางเพศได้ด้วย

ซิทริน Citrine หรือคริสตัลเหลือง มีสีเหลืองทอง เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ให้กำลังใจและความเชื่อมั่น ช่วยในการตัดสินใจเมื่อต้องเสี่ยงหรือต้องเลือก ยูนาไคท์ Unakite หินสีเขียวมีลายจุดสีส้มกระจายอยู่ทั่ว เชื่อว่าช่วยให้ผู้สวมใส่ยึดมั่นในเป้าหมายและความปรารถนาของตน และมั่นใจในการก้าวไปสู่เป้าหมายนั้น

อัญมณีเสริมดวงราศีธนู

ขอบคุณภาพจาก http://www.pinterest.com/pin/86342517829089821/


ราศีธนู
เทอร์ควอยส์ Turqouise หินสีเขียวน้ำทะเล และ เพทายสีฟ้า ถูกจัดเป็นอัญมณีของราศีนี้ พลอยทั้งสองชนิดนี้ หมายถึง ความร่ำรวยและความมั่งคั่ง ซึ่งมีความหมายเดียวกับดาวพฤหัสที่เป็นดาวเกษตรของราศีธนู เทอร์ควอยส์ยังมีคุณสมบัติด้านความรักความเมตตา และช่วยเสริมสร้างสติปัญญา
ลาพีซ ลาซูรี Lapis Lazuri แซฟไฟร์สีน้ำเงินเข้มที่มีละอองสีทองปนอยู่ในเนื้อหิน ถือเป็นหินแห่งความรู้ เสริมสร้างพลังทางปัญญา ช่วยเปิดตาและเปิดใจให้พบกับสัจธรรมความเป็นจริง

อัญมณีเสริมดวงราศีมังกร

ขอบคุณภาพจาก http://www.pinterest.com/pin/49539664628074723/


ราศีมังกร
ชาวราศีมังกรเป็นคนจริงจัง มีระเบียบแบบแผน แต่มักจะวิตกกังวล จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพ และมักจะมีอาการเจ็บป่วยแบบผู้สูงอายุ เช่น ปวดข้อ ปวดเข่า ปวดหลัง เป็นต้น อัญมณีที่เชื่อกันว่าจะช่วยให้ผู้สวมใส่มีสุขภาพที่ดีจึงเป็นอัญมณีประจำราศีนี้ นั่นคือ โกเมน Garnet
มาลาไคท์ Malachite หินสีเขียวสดทึบแสง มีลายริ้วๆ เชื่อว่าช่วยขจัดสิ่งชั่วร้าย ปกป้องอันตรายจากการเดินทาง และยังสามารถป้องกันการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับฟัน กระดูก ไขข้อ อาการอักเสบและติดเชื้อได้ด้วย

อัญมณีเสริมดวงราศีกุมภ์

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.pinterest.com/pin/437341813784291717/


ราศีกุมภ์
คนราศีนี้รักอิสระ รักพวกพ้อง ชอบคิดและทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน แต่ก็ยังมีเพื่อนเยอะ อาเมทีสต์ Amethyst พลอยสีม่วง คืออัญมณีของชาวกุมภ์ บ่งบอกถึงหัวใจที่เป็นอิสระ ความจริงใจและความซื่อสัตย์ สีม่วงของอาเมทิสต์นี้ยังใกล้เคียงกับสีประจำราศีกุมภ์อีกด้วย สีไลแลค หรือม่วงออกแดง

ฟลูออไรต์ Fluorite หินหิ่งห้อย บางก้อนเรืองแสงได้ มีหลายสี เชื่อว่า เป็นหินที่มีพลังพิเศษ สามารถทำให้เห็นภาพนิมิต หรือ ภาพในอนาคตได้ เหมือนช่วยให้เกิดญาณรับรู้อนาคต และยังมีคุณสมบัติลดอาการปวดกระดูก ช่วงให้ฟันแข็งแรง

อัญมณีเสริมดวงราศีมีน

ขอบคุณภาพจาก http://www.pinterest.com/pin/557390891351903500/


ราศีมีน

อความารีน Aquamarine พลอยที่มีตั้งแต่สีเขียวน้ำทะลจนถึงสีฟ้าเข้ม เป็นอัญมณีที่นำความสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ดั่งท้องทะเลมาให้ ช่วยให้จิตใจสงบ อ่อนโยน ถือเป็นอัญมณีนำโชคของชาวเรือและชาวทะเล ช่วยบรรเทาอาการเมาคลื่นและอุบัติภัยได้ (จะเห็นว่าทั้งชื่อและคุณสมบัติของอความารีนเกี่ยวข้องกับดาวเนปจูน ดาวเกษตรของราศีมีน)

อาซูไรต์ Azurite หินสีน้ำเงินเข้ม เป็นแร่โคบอลต์ มักใช้ในการนั่งสมาธิ ช่วยปลุกพลังแห่งจิตวิญญาณ การรับรู้และสัมผัสพิเศษ
ราศีมีนเป็นราศีที่มีอัญมณีประจำราศีอยู่หลายชนิดแต่ละแหล่งข้อมูลก็กำหนดแตกต่างกันออกไป นอกจากอความารีนและอาซูไรต์แล้วยังมี บลัดสโตน Bloodstone อาเมทิสต์ Amethyst ที่มีสีม่วง สีของราศีมีน หยก Jade มุกดาหาร Moonstone


ข้อมูล : www.horauranian.com

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
ครีมกันแดด,spf
ข่าวสาร

ครีมกันแดด – ความเชื่ออันน่าเศร้า เกี่ยวกับ “ครีมกันแดด” ที่ทำลายผิวด้วยมือคุณเอง

ครีมกันแดด,spf

ครีมกันแดด ตามประสาเมืองไทยเป็นเมืองร้อนถึงร้อนที่สุด ไม่ว่าฤดูกาลไหน สาวๆ จึงต้องพึ่งพาครีมกันแดดไว้ปกป้องผิวพรรณไม่ให้โดนทำร้ายจากรังสี UVA และ UVB ตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ผิวมีริ้วรอยก่อนวัย และผิวแห้งกร้าน แต่มีสาวๆ หลายคนที่ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับครีมกันแดด จนทำร้ายผิวสวยสตรองของคุณโดยไม่ได้ตั้งใจ ILC ชวนคุณมาสำรวจกิจวัตรความสวยว่า ทุกวันนี้สาวๆ ใช้ครีมกันแดดได้ ถูกควรตามความจริง หรือคุณกำลังใช้ตามความเชื่อกันแน่!

ความเชื่อ: เลือก ครีมกันแดด ที่มีค่า SPF สูงๆ นี่แหละรอด!

ความจริง: ถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะแท้จริงแล้วครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 (Sun Protection Factor) ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVBที่ทำให้ผิวหมองคล้ำและผิวไหม้ (เมื่ออยู่กลางแดดนาน) โดยการคำนวณเวลาในการปกป้องผิวก็ให้เอาตัวเลขของ SPF คูณด้วย 10 เช่น SPF 50 (50×10 = 500) หมายถึง ครีมกันแดด สามารถปกป้องผิวได้นาน 500 นาที (8 ชั่วโมง)

ความเชื่อ: อยู่บ้านหรือออฟฟิศทั้งวันไม่ต้องกลัวแดด

ความจริง: คุณสมบัติอย่างหนึ่งของรังสี UVA ในแสงแดด คือสามารถสะท้อน ทะลุ และหักเหได้อย่างร้ายกาจ แม้จะหลบอยู่ในร่มก็ใช่ว่าจะรอด! ส่วนแสงไฟนีออน หน้าจอคอมพิวเตอร์ และแสงสีฟ้าจากจอมือถือก็ส่งผลเสียต่อผิวพรรณทำให้ผิวหมองคล้ำและแห้งกร้านได้เช่นกัน กรณีอยู่บ้านหรือออฟฟิศคุณอาจเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF15-20 PA++ มาใช้สำหรับการปกป้องผิวก็เพียงพอ และควรทาซ้ำในระหว่างวัน ยิ่งวันที่ฟ้าหม่นครึ้มและไม่มีแดดก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะความเข้มข้นของรังสี UVA สามารถทะลุก้อนเมฆลงมาทำร้ายผิวพรรณของเราได้เช่นกัน

ความเชื่อ: ไม่ชอบทา ครีมกันแดด เพราะเหนียวเหนอะหนะ สวมแว่นดำกับกางร่มก็พอ

ความจริง: ถ้าคุณไม่ห่วงสวย ไม่กลัวริ้วรอยเหี่ยวย่น ไม่กลัวคนทักดูแก่กว่าวัย อย่างน้อยควรกังวลมะเร็งผิวหนังสักหน่อย เพราะแว่นกันแดดช่วยปกป้องแค่รอบดวงตา ส่วนร่มที่ไม่มีสารเคลือบกันรังสียูวีก็ไม่อาจปกป้องผิวได้เช่นกัน แต่ใช่ว่าคุณจะพกร่มเข้าไปในอาคารหรือกางร่มในบ้านก็ใช่ที่ หากไม่ชอบสัมผัสเหนียวเหนอะหนะของครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ จริงจัง ปัญหานี้แก้ง่ายมาก ก่อนอื่นควรวิเคราะห์สภาพผิวของคุณเสียก่อน เพราะครีมกันแดดมีหลายเนื้อสัมผัสที่เหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อครีม เจล และโลชั่น ควรลองทดสอบกับผิวใต้ท้องแขนก่อนเลือกซื้อเพื่อความมั่นใจมากขึ้น

สำคัญที่สุดไม่ควรทา ครีมกันแดด บางๆ แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมคือ 2 เม็ดไข่มุก แต้มลงบนจุดต่างๆ บนใบหน้า เช่น หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง จมูก คาง และรอบดวงตา ส่วนริมฝีปากควรเลือกลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพื่อปกป้องเรียวปากให้ชุ่มชื้นและไม่โดนแสงแดดทำร้าย ส่วนผิวกายให้ทาในปริมาณเท่าฝ่ามือและไม่ควรพลาดจุดบอด เช่น ท้ายทอย เปลือกตา หลังหู ฝ่าเท้า ใต้วงแขน และควรทาทิ้งไว้ก่อนออกจากบ้านสัก 20-30 นาที เพื่อให้ครีมกันแดดซึมซาบสู่ผิว

หากอยากให้ผิวดูกระจ่างใส ห่างไกลมะเร็งผิวหนัง และใช้ครีมอย่างคุ้มค่าทุกหยด อย่าลืมใช้ครีมกันแดด ให้ถูกวิธี

ข้อมูล DII THAILAND และ http://sunlabs.co.za/summer-sun-safety-tips/sun-lab-spf-chart/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
เครื่องสำอาง
ข่าวสาร

เครื่องสำอาง – เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเครื่องสำอาง

เครื่องสำอาง

เครื่องสำอาง เป็นได้หลายอย่าง เป็นทั้งของตบแต่งเพื่อความสวยความงาม เป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจ บางอย่างก็ยังสร้างบุคลิกใหม่ ๆ ให้อย่างเช่นการเปลี่ยนสีผม แต่บางครั้งเครื่องสำอางก็อาจทำพิษกับเราได้ทั้งจากความไม่ระมัดระวังในการ ใช้ หรือจากสารอันตรายที่อยู่ในเครื่องสำอางต่าง ๆ การมาทำความรู้จักกับเครื่องสำอางให้มากขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกันสำหรับ สาวใหญ่สาวน้อยที่ชอบแต่งแต้มสีสันให้กับตัวเอง
เครื่องสำอางไม่ใช่ยา ยาไม่ใช่เครื่องสำอาง

เครื่องสำอาง ใช้ทาถูบนร่างกาย เพื่อ ทำความสะอาด แต่งแต้มให้สวยงาม เพิ่มความดึงดูดและเปลี่ยนแปลงสภาพภายนอก เช่น ครีมทาผิว โลชั่น น้ำหอม ลิปสติก ยาทาเล็บ ผลิตภัณฑ์รอบผิวหน้าและดวงตา น้ำยาดัดผม น้ำยาโกรกสีผม รวมทั้งยาสีฟัน
ยา ใช้เพื่อแก้ไข รักษา และป้องกันโรคที่เกิดกับร่างกาย ส่วนเครื่องสำอางไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือมีผลต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย

ส่วนผสมเครื่องสำอาง

มีอะไรอยู่ในเครื่องสำอาง ?

น้ำหอมและสารกันเสียนับได้ว่าเป็นองค์ประกอบหลักสำคัญในเครื่องสำอาง
น้ำหอม เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการแพ้ของผิวหนัง น้ำหอมประกอบด้วยสารเคมีและสารธรรมชาติต่าง ๆรวมกันมากมาย เครื่องสำอางที่ติดฉลากว่า “ปราศจากน้ำหอม” บางชนิดปราศจากการใส่น้ำหอมจริง ๆ แต่บางผลิตภัณฑ์ยังมีการปรุงแต่งด้วยน้ำหอมเล็กน้อยเพื่อกลบกลิ่นไขและสาร ประกอบอื่น ๆ
สารกันเสียในเครื่องสำอาง นับเป็นอันดับสองรองจากน้ำหอมที่ก่อให้เกิดปัญหาทำให้ผิวหนังแพ้ได้ สารกันเสียทำหน้าที่กันเชื้อแบคทีเรียและราไม่ให้เจริญเติบโตในผลิตภัณฑ์ และยังป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เสียง่ายเมื่อได้รับแสงและความร้อน

สีในเครื่องสำอาง ต้องเป็นสีที่ปลอดภัยตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คือ สีที่ใช้สำหรับ อาหาร ยาและเครื่องสำอาง (FD&C) หรือสีที่ใช้สำหรับยาและเครื่องสำอาง (D&C) หรือสีใช้ภายนอกสำหรับยาและเครื่องสำอางเท่านั้น

ความปลอดภัยของเครื่องสำอาง

ความปลอดภัยของเครื่องสำอางขึ้นอยู่กับอะไร ?

เครื่องสำอางส่วนใหญ่จะมีความปลอดภัย ยกเว้นเครื่องสำอางปลอมหรือชนิดที่ผิดกฎหมาย ความไม่ปลอดภัยบางครั้งเกิดจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง เช่น
การขยี้ตาที่มีมาสคาร่า ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ถ้าไม่รักษา เพื่อความปลอดภัยไม่ควรเขียนคิ้ว ทาขอบตาระหว่างที่เดินทางในรถยนต์ รถไฟ หรือเครื่องบิน

ไม่ควรใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น เพราะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากเราเองไปสู่ผู้อื่น หรือจากผู้อื่นมาสู่เราได้ รวมถึงการไม่ใช้หวีร่วมกัน ไม่ใช้สบู่อาบน้ำก้อนเดียวกัน เพราะเชื้อโรคหรือเชื้อจุลินทรีย์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ขณะนอนหลับ ไม่ควรมีเครื่องสำอางอยู่รอบดวงตาและผิวหน้า เพราะเคมีในเครื่องสำอางอาจเข้าตาเมื่อขยี้ตาได้ ปัญหาตาอักเสบจะตามติดมาได้ง่ายผลิตภัณฑ์ประเภทแอโรซอล ไม่ควรวางกระป๋องแอโรซอลใกล้ความร้อนหรือไฟ หรือใกล้คนที่ชอบสูบบุหรี่ เพราะองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ติดไฟง่าย สามารถระเบิดได้ ระหว่างการใช้งาน เช่น สเปรย์ผม ให้ระวังไม่สูดดมเข้าไป เพราะจะสะสมที่ปอด ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้

อันตรายของเครื่องสำอาง

จะป้องกันตนเองจากอันตรายของเครื่องสำอางอย่างไร?
-ไม่แต่งหน้าระหว่างขับรถ หรือโดยสารในรถ
-ไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น
-ปิดภาชนะให้แน่น เก็บให้พ้นจากแสงและความร้อน
-อย่าใช้เครื่องสำอาง หากมีปัญหาตาอักเสบ และทิ้งผลิตภัณฑ์ไปหากพบปัญหา เช่น เก่าเก็บ เนื้อครีมสลายตัว
-อย่าเติมของเหลวหรืออื่นๆลงในผลิตภัณฑ์ ยกเว้นมีคำแนะนำบนฉลาก
-โยนทิ้ง หากพบว่าสีเครื่องสำอางที่ใช้อยู่เริ่มเปลี่ยน หรือส่งกลิ่นผิดปรกติ
-อย่าใช้กระป๋องสเปรย์ใกล้ความร้อน หรือระหว่างสูบบุหรี่ เพราะอาจระเบิดได้
-อย่าสูดดมละอองสเปรย์ หรือผงแป้งเข้าปอด เพราะถ้าสเปรย์ทุกวัน อาจเกิดการสะสมจนเกิดอันตรายต่อปอดได้
-หลีกเลี่ยงการใช้สีถาวรบริเวณรอบดวงตา เพราะมักจะมีโลหะ เช่น ตะกั่ว เป็นองค์ประกอบ ก่อให้เกิดอันตรายต่อตาได้


เครื่องสำอาง สามารถเก็บได้นานแค่ไหน ?

ผลิตภัณฑ์ประเภทรอบดวงตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาสคาร่า อายเชโด่ ดินสอเขียวคิ้วและขอบตา ไม่สามารถใช้ได้นาน ๆ เท่ากับชนิดอื่น ๆ เพราะโอกาสในการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ระหว่างการใช้งานมีสูงมาก อาจทำให้เกิดอักเสบของเยื่อบุลูกตาได้ ผู้เชี่ยวชาญทางเครื่องสำอางแนะนำให้เปลี่ยนผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทิ้งทุก 3 เดือนภายหลังจากการเปิดใช้งาน
ผลิตภัณฑ์ประเภทสมุนไพรหรือชนิดที่มีองค์ประกอบจากธรรมชาติ มักจะเก็บได้ไม่นาน ผู้ใช้ควรหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ เช่น สี กลิ่น และความหนืดของเนื้อครีม เพราะทั้งสี กลิ่นและความหนืดที่เปลี่ยนไป แสดงถึงการสลายตัวของผลิตภัณฑ์อันอาจมีสาเหตุจากการปนเปื้อนของเชื้อ จุลินทรีย์ได้ เนื่องจากสารสกัดจากธรรมชาติมักจะไม่มีสารกันเสีย ถ้าพบการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นให้หยุดใช้ และทิ้งไปทันทีไม่ต้องเสียดาย นอกจากนั้นการเก็บผลิตภัณฑ์ต้องเก็บตามคำแนะนำบนฉลาก เช่น หลีกเลี่ยงจากความร้อน และแสงแดด หากเก็บไม่ได้ตามคำแนะนำ อายุของผลิตภัณฑ์จะสั้นกว่าวันหมดอายุที่กำหนดไว้บนฉลาก

ฉลากเครื่องสำอางที่ควรรู้
ปกติฉลากเครื่องสำอางที่ผ่านการควบคุมจาก อย.แล้วจะต้องระบุข้อความเหล่านี้เป็นภาษาไทยไว้บนฉลาก ได้แก่
– ชื่อเครื่องสำอางและ/หรือชื่อทางการค้า
– ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง
– ชื่อส่วนประกอบที่สำคัญ
– ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต ถ้านำเข้าจะต้องแสดงชื่อผู้ผลิตและประเทศที่ผลิต
– วัน เดือน ปีที่ผลิต เช่น Manufactured ตามด้วยตัวเลขบอกวัน เดือน ปีที่ผลิต หรือวันหมดอายุ เช่น Best Before หรือ Used Before ตามด้วยวัน เดือน
ปีที่หมดอายุไว้ด้วย
– วิธีใช้และคำเตือน
– ปริมาณสุทธิ

ที่มา : https://tophitcosmetic.wordpress.com/category/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
7สิ่งที่ห้ามทำหลังกินอาหารอิ่ม
ข่าวสาร

7สิ่งที่ห้ามทำหลังกินอาหารอิ่ม

7สิ่งที่ห้ามทำหลังกินอาหารอิ่ม หลังจากที่หลายๆคนกินอาหารเสร็จ ส่วนใหญ่มักชอบนั่งอยู่นิ่งๆ ก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะหรือไปเก็บจาน เพราะพึ่งกินอิ่มใหม่ๆ ท้องยังแน่นตึงอยู่ บางคนชอบกินของคาวแล้วตบท้ายด้วยผลไม้ที่มีรสชาติหวาน  แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เราไปดูดีกว่าค่ะว่าสิ่งที่ห้ามทำหลังกินอาหารอิ่มมีอะไรบ้าง 

ห้ามสูบบุหรี่หลังทานอาหาร,7สิ่งที่ห้ามทำหลังกินอาหารอิ่ม

1. ห้ามสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ปกติก็อันตรายต่อสุขภาพมากพอแล้ว และยิ่งเราสูบบุหรี่หลังกินอาหารเสร็จจะเพิ่มความเสี่ยงถึง 10 เท่า และเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคถุงลมโป่งพอง และโรคมะเร็งปอดสูงขึ้น 

ไม่ทานผลไม้หลังทานอาหาร,7สิ่งที่ห้ามทำหลังกินอาหารอิ่ม

2. ไม่ควรรับประทานผลไม้

หลายคนอาจทำกันอยู่เป็นประจำ เพราะกินของคาวมาแล้วก็อยากตบท้ายของหวานดับกลิ่นคาวในปากบ้าง แต่การับประทานผลไม้ทันทีจะทำจะส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหารทำให้ท้องอืดได้ ดังนั้นเราควรรับประทานผลไม้ก่อนมื้อ-หลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง

ห้ามอาบน้ำหลังทานอาหาร,7สิ่งที่ห้ามทำหลังกินอาหารอิ่ม

3. ห้ามอาบน้ำทันที 

กินข้าวเสร็จก็ขออาบน้ำเลยแล้วกันจะได้นอนสบายๆ แต่การอาบน้ำหลังกินอาหารเสร็จทันที จะไปรบกวนการย่อยอาหารให้ทำงานผิดปกติ และทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารลดลง เพราะการอาบน้ำจะกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปทั่วร่างกาย รวมถึงบริเวณท้อง

ไม่ควรดื่มชาหลังทานอาหาร

4.  ไม่ควรดื่มชา

สำหรับใครที่ชอบดื่มชาหลังกินอาการ หรือ ดื่มช่วงใกล้มื้ออาหาร จะทำการดูดซึมอาหารลดน้องลง เพราะในใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนที่เรากินเข้าไปเกิดการย่อยยาก

ห้ามนอนทันทีหลังทานอาหาร

5. ห้ามนอนทันที หลังกินอาหารอิ่ม

มาที่ข้อสุดท้าย ข้อนี้หลายคนทำกันเป็นประจำแน่นอนเพราะกินเสร็จใหม่ๆหนังท้องตึงหนังตาหย่อน หรือกินเสร็จไม่รู้จะทำไรนอนดูทีวีดีกว่า การกินเสร็จแล้วนอกจากทำให้เราอ้วนแล้วยังทำให้การย่อยอาหารทำงานไม่เต็มที่ เกิดลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ และยังเป็นสาเหตุของโรคกรดไหลย้อน 

ห้ามออกกำลังกายหลังทานอาหาร


6.ออกกำลังกายหลังกินข้าวทันที
 ข้อนี้หลายๆ คนรู้อยู่แล้ว เพราะนอกจากจะเป็นการรบกวนระบบย่อยอาหารแล้ว ยังทำให้เกิดอาการจุก อาหารไม่ย่อยอีกด้วย

ห้ามขับรถหลังทานอาหาร

7.ขับรถหลังทานข้าวอิ่มๆ  เป็น ข้อสุดท้ายของ 7สิ่งที่ห้ามทำหลังกินอาหารอิ่ม
ซึ่งหากขับรถในระยะทางใกล้ๆ อาจไม่รู้สึก แต่หากขับทางไกลจะรู้เลยว่า เมื่ออิ่มแล้ว หนังตาก็เริ่มหย่อน อาจเป็นอันตราย ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

ทั้งหมดนี้เป็น 7สิ่งที่ห้ามทำหลังกินอาหารอิ่ม ถ้าเรายังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพแน่นอน ดังนั้นหลังกินอาหารเสร็จให้นั่งพักเพื่อย่อยอาหาร หรือทำกิจกรรมต่างๆ เช่นล้างจาน กวาดบ้าน เพื่อให้อาหารที่เรากินไปย่อยก่อน 

Credit:  http://www.newstodaylifestyle.com
https://www.vanilla.in.th/  

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
6 สูตรหน้าใสไร้สิว
ข่าวสาร

6 สูตรหน้าใสไร้สิว

6 สูตรหน้าใสไร้สิว หลายครั้งที่สาวๆ เราประสบกับปัญหาผิวหน้าอย่างสารพัดจนไม่รู้จะจัดการอย่างไร จะเข้าสถาบันความงามก็ต้องจ่ายด้วยเงินแสนแพง สำหรับใครที่อยากมี หน้าใสไร้สิว และมีผิวนุ่มชุ่มชื้นสุขภาพดีแบบธรรมชาติ เราขอแนะนำ 6 สูตรหน้าใสไร้สิว เหล่านี้เลยค่ะ พอกหน้าตามนี้เป็นประจำทุกสัปดาห์ บอกเลยค่ะว่าผิวหน้าสวยใสไร้สิว แถมยังนุ่มชุ่มชื้นอย่างมีสุขภาพดีในราคาสุดประหยัดแน่นอน

กล้วยหอม,6 สูตรหน้าใสไร้สิว
1. สูตรกล้วยหอม + นมสด

วิธีทำ บดกล้วยหอมครึ่งลูกให้ละเอียด ผสมกับนมสดเย็นๆ คนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกลงบนผิวหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด

ว่านหางจรเข้ ,6 สูตรหน้าใสไร้สิว

2. สูตรว่านหางจระเข้

วิธีทำ ตัดใบว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกเอาแต่วุ้น ล้างน้ำให้สะอาดแล้วบดเนื้อวุ้นจนละเอียด จากนั้นนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด สรรพคุณจากว่านหางจระเข้จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้นุ่มชุ่มชื้น ผิวเรียบเนียนใสขึ้น ช่วยรักษาสิว ลดเลือนรอยสิว ฝ้า กระและจุดด่างดำ รวมถึงริ้วรอยได้ผล แต่จะต้องหมั่นทำเป็นประจำเช่นกัน

น้ำผึ้ง,6 สูตรหน้าใสไร้สิว

3. สูตรไข่ขาว + น้ำผึ้ง

วิธีทำ นำไข่ขาวและน้ำผึ้งมาผสมกัน คนจนส่วนผสมเข้ากันดีแล้วนำมาทาลงบนใบหน้า พอกไว้จนทั่วจนกว่าส่วนผสมจะแห้ง หรือพอกประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงล้างออกให้สะอาด สูตรพอกหน้าใสนี้ นอกจากจะช่วยบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้นแล้ว ยังช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขนได้อย่างล้ำลึกอีกด้วย เหมาะสำหรับสาวผิวแห้งและมีสิวบ่อยมากที่สุด

แตงโม,6 สูตรหน้าใสไร้สิว

4. สูตรแตงโม

วิธีทำ ฝานเนื้อแตงโมในส่วนที่แดงที่สุดให้เป็นชิ้นบางๆ จากนั้นนำมาวางบนใบหน้าจนทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด น้ำแตงโมที่หวานฉ่ำจะช่วยบำรุงผิวหน้าให้นุ่มชุ่มชื้นอย่างล้ำลึกที่สุด แถมผิวหน้ายังกระจ่างใสเปล่งปลั่งด้วย

โยเกิร์ต,6 สูตรหน้าใสไร้สิว

5. สูตรโยเกิร์ต

วิธีทำ สูตรหน้าใส นี้ทำง่ายมากค่ะ แค่ใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติเพียวๆ มาพอกลงบนใบหน้า จากนั้นปล่อยไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างหน้าให้สะอาด สามารถพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตได้เป็นประจำทุกวัน โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ต่อผิวแน่นอน

ใบบัวบก,6 สูตรหน้าใสไร้สิว

6. สูตรใบบัวบก

วิธีทำ ให้นำใบบัวบกสดมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำมาใช้ ตอนใช้ให้นำผ้าก็อตหรือสำลีชุบน้ำใบบัวบกที่คั้นเสร็จแล้วมาทาหรือวางแปะไว้บนใบหน้า จากนั้นปล่อยไว้เช่นนั้นประมาณ 20-30 นาที จึงล้างออก สูตรพอกหน้าด้วยใบบัวบกนี้ เป็นอีก สูตรหน้าใส ที่สาวๆ ควรทำอย่างมากเช่นกัน เพราะมีสรรพคุณช่วยรักษาสิว แก้รอยแผลจากสิว ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำได้อย่างเป็นธรรมชาติ

6 สูตรหน้าใสไร้สิว เหล่านี้ ล้วนเป็นสูตรพอกหน้าที่เราสามารถหยิบเอาวัตถุดิบจากธรรมชาติใกล้ตัวมาใช้ได้อย่างง่ายดาย จ่ายแบบประหยัดๆ แต่ได้ผิวหน้าสวยใสมาครอบครอง ไม่ลองทำตาม ถือว่าพลาดนะคะ

ที่มา : https://www.sanook.com/women/71153/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
น้ำผึ้ง
ข่าวสาร

น้ำผึ้ง ความหวานจากธรรมชาติ เปี่ยมคุณค่ามากประโยชน์

น้ำผึ้ง ความหวานจากธรรมชาติที่นิยมใช้มาตั้งแต่โบราณ เต็มเปี่ยมไปด้วยประโยชน์มากมาย ทั้งสรรพคุณทางยา สรรพคุณเพื่อความงาม และ ยังดีกับสุขภาพโดยรวมของร่างกาย

ความหวานจากธรรมชาตินั้นมีมากมาย หลากหลายรูปแบบ ส่วนมากจะมาจากส่วนต่างๆของพืช อย่างยางไม้ และน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ น้ำผึ้งเองก็เป็นผลผลิตจากน้ำเชื่อมจากเกสรดอกไม้ชนิดต่างๆเก็บโดยพนักงานจอมขยันอันดับต้นๆของโลก ผึ้งงานตัวน้อยที่ทำงานกันอย่างแข็งขันโดยไม่มีวันหยุด

ผึ้งงานหรือผึ้งน้ำหวานจะเปลี่ยนน้ำเชื่อมจากดอกไม้(น้ำต้อย)เป็นน้ำผึ้งด้วยการขย้อนน้ำเชื่อมจากดอกไม้ที่ดูดไว้ออกมา เพื่อเตรียมไว้เป็นแหล่งอาหารให้กับตัวอ่อนในรังผึ้ง โดยจะสร้างขี้ผึ้งจากเศษเกสรดอกไม้ผสมกับน้ำเมือก ขึ้นรูปเป็นโพรงทรง 6 เหลี่ยม และเก็บของเหลวที่ได้จากการขย้อนนั้น(น้ำผึ้ง)ลงไป ปิดทับด้วยขี้ผึ้งอ่อนอีกชั้น

น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานชนิดแรกๆจากธรรมชาติที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารก่อนที่จะมีใช้น้ำตาลเสียอีก โดยมีประวัติการใช้น้ำผึ้งมาตั้งแต่ยุคอียิปต์ และ กรีกโบราณ โดยมีสรรพคุณทางยา ช่วยในการสมานแผล ฆ่าเชื้อโรค บำรุงความงาม และช่วยบำรุงกำลัง นอกจานี้น้ำผึ้งยังมีบทบาทในทางศาสนา โดยเป็นเครื่องมือในการประกอบศาสนกิจ ทั้งในคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอ่าน และพระไตรปิฎก อีกด้วย

น้ำผึ้ง

ส่วนประกอบของ น้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบถึง 80-85% ประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิดต่างๆ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ได้แก่ กลูโคส และฟรักโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่ย่อยเป็นพลังงานให้กับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว อีกกลุ่มคือน้ำตาลโมเลกุลคู่ ได้แก่ มอลโทส ซูโครส แล็กโทส และมีส่วนของน้ำตาลที่มีโมเลกุลซับซ้อน อย่างเดกซ์โทรสผสมอยู่ด้วย

ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นส่วนผสมความหวานที่ได้จากธรรมชาติล้วนๆ ดังนั้นน้ำผึ้งจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์จริงจะมีปริมาณซูโครสไม่เกินร้อยละ 5-8 เท่านั้น ถ้าสูงกว่านั้นแสดงว่า น้ำผึ้งนั้นมีการผสมน้ำเชื่อม หรือไม่ใช่น้ำผึ้งบริสุทธิ์นั้นเอง

ตารางคุณค่าทางอาหารของ น้ำผึ้ง

ตารางคุณค่าทางอาหารของน้ำผึ้ง,น้ำผึ้ง

คุณค่าทางอาหารของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งเป็นอาหารกลุ่มให้พลังงาน (คาร์โบไฮเดรต)เนื่องจากมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก น้ำตาลกว่า 70%ในน้ำผึ้งเป็นน้ำตาลที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยฟื้นฟูกำลัง ช่วยให้หายเหนื่อยเร็ว และให้ความสดชื่น หลังออกกำลังกายได้ดี

ในน้ำผึ้งมีวิตามิน บีและซี และยังมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม เกลือแร่ ฟอสฟอรัส กรดอะมิโนที่จำเป็น รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในผักใบเขียว มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยชะลอวัย ชะลอความเสื่อมของเซลล์และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

สรรพคุณทางยาของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายมาหลายพันปีแล้ว โดยถือให้น้ำผึ้งเป็นอาหารบำรุงกำลัง ปรับสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยให้อวัยวะภายในทำงานได้ดีขึ้น ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ลดกรดในกระเพาะอาหาร ใช้ล้างแผล ฆ่าเชื้อโรค ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้

สรรพคุณด้านความงามของน้ำผึ้ง

นอกจากน้ำผึ้งจะใช้นำมาเป็นอาหารที่อุดมคุณค่าแล้ว น้ำผึ้งยังมีสรรพคุณมากมายเพื่อความงามอีกด้วย น้ำผึ้งถูกนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์และครีมบำรุงผิวมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ด้วยที่น้ำผึ้งมีความสามารถในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย “ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์” สารชนิดนี้กำจัดเชื้อโรคได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อ ซึ่งทำให้น้ำผึ้งถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรผิวหนังรวมถึงเรื่องความงามอีกด้วย

นอกจากนี้น้ำผึ้งมีสารประกอบที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องแสงแดดและรังสียูวี แถมช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง นุ่มเนียน เครื่องสำอางค์ประเภท สบู่ ครีมพอกหน้า ครีมขัดหน้า เจลล้างหน้าจึงนิยมน้ำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์

ลักษณะน้ำผึ้งที่ดี

น้ำผึ้งจะมีหน้าตาและสีจะคล้ายๆกันแต่คุณภาพอาจแตกต่างกัน น้ำผึ้งที่ดีจะต้องมีลักษณะข้นหนืด มีความใสโปร่งแสง ไม่มีตะกอน ไม่มีฟอง ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว แต่จะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวจากเกสรดอกไม้ การคัดน้ำผึ้งที่ดีจะต้องดูจากความชื้นที่อยู่ในน้ำผึ้ง ยิ่งน้ำผึ้งมีความชื้นต่ำก็จะยิ่งมีคุณภาพมากเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลว่า น้ำผึ้งเดือน 5 จึงเป็นสุดยอดน้ำผึ้งคุณภาพ เพราะในเดือน 5 เป็นหน้าเล้ง ไม่มีฝน ดอกไม้กำลังบานสะพรั้ง จึงทำให้น้ำผึ้งที่ได้มีความชื้นต่ำและมีกลิ่นหอม

แต่ด้วยในปัจจุบันน้ำผึ้งเดือน 5 ตามธรรมชาติอาจหาได้ยากเนื่องพื้นที่ป่าลดลง จึงทำให้มีการปลอมแปลงน้ำผึ้งมาแร่ขายกันมากขึ้น น้ำผึ้งที่ขายกันหากเป็นน้ำผึ้งแท้ ส่วนมากจะมาจากการเลี้ยงผึ้งในสวนไม้ผล เช่นลำไย หรือ เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งคุณภาพจะสู้น้ำผึ้งป่าไม่ได้ เมื่อเก็บไว้ซักระยะน้ำผึ้งจะเปลี่ยนสี สีจะเข้มขึ้น และอาจมีกลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไป

น้ำผึ้งแท้หรือเทียมสังเกตอย่างไร

ด้วยที่สรรพคุณมากมายของน้ำผึ้ง ทำให้ราคาของน้ำผึ้งแท้สูงเมื่อเทียบกับน้ำตาล จึงทำให้เกิดกลโกงหลอกลวงมากมายเกี่ยวกับน้ำผึ้ง ทั้งใช้น้ำผึ้งแท้ผสมน้ำตาลเคี่ยวผสมแบะแซเพิ่มความข้นหนืดและคงรูป หรือใช้ฝักจามุรี ฝักฉำฉามาเคี่ยวด้วยไฟอ่อน พอละลายก็จะได้น้ำผึ้งเก๊โดยไม่ต้องเติมน้ำผึ้งจริงแม้หยุดเดียว

สำหรับคนที่ทานน้ำผึ้งเป็นประจำ จะคุ้นเคยกับลักษณะและกลิ่นอยู่แล้ว เพียงแค่ดม หรือชิมก็สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีความรู้ เพื่อความมั่นใจลองใช้วิธีเหล่านี้พิสูจน์ดู

  • หยดลงบนนิ้วมือแล้วคลึงดู ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะไม่แห้ง จะยังลื่นอยู่ตลอด แต่ถ้าหากเป็นน้ำผึ้งปลอมปน น้ำผึ้งจะตกผลึกและเหนียวติดนิ้ว
  • หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชู ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอม หยดน้ำเชื่อมจะขยายเป็นวงกว้างและกระจายออกเร็วกว่าน้ำผึ้งจริง
  • หยดน้ำผึ้งลงในน้ำ ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้น้ำผึ้งจะคงตัวเป็นก้อนก่อนแล้วจึงค่อยๆละลายไป
  • ตักน้ำผึ้งแล้วหยดลง น้ำผึ้งแท้จะไหลเป็นสาย มีใยบางๆไม่ขาดสาย และจะพับกองเป็นชั้นก่อนจะรวมตัวกันเป็นเนื้อเดียว
  • ทดสอบโดยการผสมน้ำผึ้งกับน้ำชาจีน โดยใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำชาจีนครึ่งแก้วคนให้เข้ากันแล้ววางทิ้งไว้ ถ้าชามีดำคล้ำ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งปลอม เพราะถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้น้ำชาจะไม่เปลี่ยนสี
  • เมื่อน้ำผึ้งเก็บไว้ตู้เย็นน้ำผึ้งจะมีผลึกน้ำตาลเป็นเกร็ดเล็กๆ
  • น้ำผึ้งแท้มดจะไม่ขึ้น
  • เทน้ำผึ้งลงในฝามือ ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้เวลาล้างออก จะล้างออกได้ง่ายไม่เหนียวเหนอะหนะติดมือ
  • จุ่มหัวไม้ขีดไฟลงบนน้ำผึ้งถ้าจุดไฟติดแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งแท้
น้ำผึ้งแท้,น้ำผึ้ง

ข้อควรระวังในการใช้ น้ำผึ้ง

ถึงน้ำผึ้งจะมีประโยชน์มากมายแต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ไม่เหมาะกับการทานน้ำผึ้ง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน โดยเเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาหารแพ้ละอองของเกสรดอกไม้ อาจทำให้เกิดผื่นแดง จึงควรทดสอบก่อนใช้เสียก่อน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน อย่าคิดว่าน้ำผึ้งปลอดภัยทานได้ โดยไม่ต้องควบคุม เพราะต้องไม่ลืมว่าน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลหลายชนิด จึงจำเป็นที่ต้องควบคุมปริมาณในการทานเช่นเดียวกับความหวานจากแหล่งอื่น

นอกจากนี้ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีไม่ควรทานน้ำผึ้ง และต้องมั่นใจว่าน้ำผึ้งนั้นสะอาด ได้มาจากแหล่งที่ปลอดภัยถูกหลักอนามัย ต้องระมัดระวังการบนเปื้อน โดยเฉพาะการนำน้ำผึ้งมาใช้ในการรักษาและสมานแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเกิดการลุกลามเน่าเปื่อยได้

References

เรียบเรียง : lovefitt.com

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
error: Content is protected !!